เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" (ตอน2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" (ตอน2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เราไปเจาะลึกกันต่อว่าผลจากการเดินทางมาเยือนไต้หวันของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาล่างของสหรัฐฯ ทำให้ชาวจีนมีปฏิกริยาเช่นไร รัฐบาลจีนออกอาวุธและแก้เกมอย่างไรในวิกฤติไต้หวันครั้งนี้ และปัญหาจะดำรงอยู่ในระยะยาวหรือไม่ อย่างไร ...
ก่อนอื่น เราต้องยอมรับว่า การเยือนไต้หวันของเพโลซีในครั้งนี้ก็ทำให้จีน “เสียหน้า” ไม่น้อย ซึ่งในวัฒนธรรมจีนถือเป็นสิ่งที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง จึงไม่แปลกใจที่ “เวยปั๋ว” สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของจีน ร้อนระอุต่อเนื่องหลายวัน และเต็มไปด้วยถ้อยคำต่อว่าด่าทอ และตั้งสมญานามใหม่ของแนนซี เปโลซี และไช่ อิงเหวิน อย่างไม่มีชิ้นดี
ชาวจีนสาย “ฮาร์ดคอร์” จำนวนมากต่างเรียกร้องให้รัฐบาลจีนออกมาตรการตอบโต้ “ขั้นเด็ดขาด” ที่รุนแรงมากขึ้นในทันที ขณะที่บางรายยังเปรยว่า วิกฤติในครั้งนี้เป็นตัวเร่งเร้าชั้นดีที่จะทำให้ “ความฝัน” ของพี่น้องชาวจีนเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดคิด
แม้ว่าจีนจะถูกยั่วยุอย่างไร้ความรับผิดชอบในครั้งนี้ แต่ก็ถือเป็นโชคสำหรับประเทศในภูมิภาค และแม้กระทั่งมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ รัฐบาลจีนเลือกใช้ภูมิปัญญาและความสุขุมคัมภีรภาพกำหนดแนวทางในการแก้ไขวิกฤติดังกล่าวที่ถูกต้องและเหมาะสม ถือว่า “ผ่าน” บททดสอบครั้งสำคัญในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริงในอนาคต
จีนเลือกดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจอย่างละมุนละม่อม และค่อยเป็นค่อยไป โดย “บีบเค้น” ไปจนถึง “ปิดจุด” ในมิติเชิงเศรษฐกิจของรัฐบาล นักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องของไต้หวันก่อน จนทำให้ไต้หวันไม่อาจเดิน “ลมปราณ” ได้คล่องตัวดั่งเคย และเพียงมาตรการชุดแรก ก็เริ่มส่งผลให้อาการเศรษฐกิจของไต้หวัน “ติดขัด” บ้างแล้ว
ในทางเศรษฐกิจ หลายคนจึงประเมินว่า ไช่ อิงเหวิน“สอบตกซ้ำชั้น”ตอนปลายภาค เพราะคิดแต่จะหวังผลในทางการเมือง และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรเป็นสำคัญ โดยมิได้ประเมินผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นจากการตอบโต้ของจีน ทั้งที่ จีนและไต้หวันเป็นคู่ค้าและคู่เศรษฐกิจที่สำคัญอยู่ใกล้กันเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงบิน และมีรากเหง้าเชื้อสายเดียวกัน
เราเห็นรัฐบาลจีนประกาศมาตรการแซงชั่นทางการค้าในทันที สั่งระงับการนำเข้าสินค้าอาหารกว่า 2,000 รายการอาทิ ชา ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว น้ำมันพืช และผลิตภัณฑ์ประมง จาก 100 ซัพพลายเออร์ที่สนับสนุนไช่ อิงเหวินในทางการเมือง
การส่งออกอาหารของไต้หวันสู่ตลาดจีนมีมูลค่าตกปีละ 1,120 ล้านเหรียญสหรัฐฯคิดเป็นราว 20% ของการส่งออกโดยรวมในส่วนนี้ ไทยจะสามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวเอาประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างไร ก็ถือเป็น “บททดสอบ” ที่สำคัญของกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ขณะเดียวกัน ในทางการเมือง การระงับการนำเข้าของจีนในครั้งนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อฐาน SMEs ที่สนับสนุนและต่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของไช่ อิงเหวิน อย่างแน่นอน
จีนยังระงับการส่งออกทรายธรรมชาติไปยังไต้หวันอย่างไม่มีกำหนด ไต้หวันใช้ทรายคุณภาพต่ำเพื่อการก่อสร้าง อาทิ การผลิตคอนกรีต ยางมะตอยและอื่นๆ ขณะเดียวกันก็นำเอาทรายคุณภาพสูง อาทิ ควอทซ์ (Quarts) ซึ่งคิดเป็น 8% ของทั้งหมด ไปคัดแยกเพื่อสกัดเอาซิลิกาก่อนนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไต้หวันในปัจจุบัน
โดยที่ไต้หวันพึ่งพาแหล่งทรายคุณภาพสูงจากจีนถึง 90% ของการนำเข้าโดยรวม การระงับการส่งออกทรายของจีนอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ TSMC,UMC และ MediaTek การนำเข้าทรายคุณภาพจากแหล่งอื่น อาทิ เวียตนาม และสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบในด้านคุณภาพ และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
อันที่จริง จีนยังมี “ไม้ตาย” ด้านการค้าอีกหลายกระบวนท่าประการแรก ไต้หวันค้าขายกับจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของการค้าโดยรวม ดังนั้น การยุติการค้าระหว่างกันจะส่งผลกระทบต่อไต้หวันในระดับที่สูงกว่าของจีน จีนน่าจะมีความสามารถในการหาแหล่งซัพพลายเพื่อทดแทนสินค้านำเข้าของไต้หวันได้ง่ายกว่าในเชิงเปรียบเทียบ
ขณะเดียวกัน เซมิคอนดักเตอร์ถือเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ของจีนและไต้หวันที่เชื่อมโยงคลัสเตอร์และพึ่งพาระหว่างกันที่สูงมากจีนมีอำนาจต่อรองในส่วนของต้นน้ำและปลายน้ำ อาทิ การคุมแหล่งแร่หายาก และการเป็นตลาดใหญ่ของโลก ขณะที่ไต้หวันมีบทบาทในส่วนของกลางน้ำ
ดังนั้น หากจีนตัดสินใจงัด “ไม้สอง” ระงับการส่งออก “แร่หายาก” ให้ไต้หวัน ก็จะกระทบกับการผลิตและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของไต้หวัน ซึ่งจะกระทบเชิงลบกับความเป็น “โรงงานของโลก” ของจีนเช่นกัน
ลำพังผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMIC และ AMEC รวมทั้งอีกราว 60 บริษัทดิจิตัลในตลาดหลักทรัพย์สตาร์ (STAR) ในเซี่ยงไฮ้ คงไม่อาจเพิ่มกำลังการผลิตทดแทนการนำเข้าได้ในระยะเวลาอันสั้น
สภาพการณ์เช่นนี้จะกระทบชิ่งต่อไปยังห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมดิจิตัลคุณภาพสูงในสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไต้หวันมีบทบาทในตลาดระดับบนคิดเป็นกว่า 90% ของตลาดโลก
การตัดสินใจกำหนดมาตรการ “ไม้ตาย” ดังกล่าวอาจนำไปสู่ “วิกฤติอาหาร” และ “วิกฤติดิจิทัล” ระลอกใหม่ ทำให้สงครามเทคโนโลยี หรือ “เทควอร์” ที่สหรัฐฯ จุดไฟเอาไว้เพื่อหวัง “แยกขั้ว” ในช่วงหลายปีหลัง ครุกรุ่นอยู่เดิมลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ในด้านการลงทุน ธุรกิจและประชาชนจีนได้ประกาศบอยคอตไม่ร่วมสังฆกรรมกับธุรกิจไต้หวันที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิ/องค์กรที่สนับสนุนการแยกตัวเป็นอิสรภาพของไต้หวัน และบ่อนทำลายจีน อาทิ ซวนเต๋อ เหนิงหยวน (Xuande Energy) หลิงหวังเคอจี้ (Lingwang Technology)เทียนเหลียง อีเหลียว (Tianliang Medical)และเทียนเหยียน (Tianyan Satellite Technology)
ขณะที่รัฐบาลจีนก็ขึ้น “บัญชีดำ” เจ้าของและผู้บริหารระดับสูงของกิจการเหล่านี้ไม่ให้เดินทางเข้าจีน ซึ่งก็เป็นเสมือนการบีบบังคับให้ธุรกิจเหล่านั้นต้องขายกิจการในราคาถูก ธุรกิจเหล่านี้อาจมองหาแหล่งลงทุนแห่งใหม่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “สู่ดินแดนตอนใต้ใหม่” (New Southbound Policy) ของไต้หวันนับแต่ปี 2016
ในมิติด้านการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวระหว่างจีนและไต้หวันมีปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกหลายประการ อาทิ ทำเลที่ตั้งที่ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ความใกล้ชิดทางสายเลือด และความคล้ายคลึงของสภาพอากาศ และวิถีชีวิต รวมทั้งระดับการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดอุปสงค์ในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน
ขณะเดียวกัน จีนและไต้หวันก็พัฒนาโครงข่ายการคมนาคมข้ามช่องแคบไต้หวันมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เส้นทางบินระหว่างหัวเมือง และบริการเรือเฟอร์รี่ขนส่งผู้โดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างหัวเมืองในมณฑลฝูเจี้ยนและเกาะไต้หวัน
หากเราตัดปัจจัยด้านการสาธารณสุขจากโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นลูกค้ารายใหญ่สุดของไต้หวัน โดยมีจำนวนราว 3 ล้านคนต่อปี คิดเป็นราว 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวในไต้หวัน และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในสาขาบริการที่ช่วยสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้แก่ไต้หวันในสัดส่วนที่สูง
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระหว่างจีน-ไต้หวันมี “การเมือง” เป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุด ตัวเลขนักท่องเที่ยวระหว่างกันจึงแปรผันตามสถานการณ์การเมืองระหว่างกัน
หากนโยบายของไต้หวันเดินสายกลางหรือโปรจีน ก็ทำให้รัฐบาลจีนก็จะปรับนโยบายและขยับให้บริษัททัวร์พานักท่องเที่ยวจีนไปไต้หวัน หรืออนุญาตให้นักท่องเที่ยวไต้หวันเข้าจีนในจำนวนที่มากขึ้น สภาพการณ์จะพลิกผันหากนโยบายของไต้หวันเปลี่ยนเป็นอื่น
ยกตัวอย่างเช่น ภายหลังการแตะประเด็น “การแยกตัวเป็นเอกราช” ของผู้นำไต้หวันในช่วงกลางปี 2019 ก็ทำให้รัฐบาลจีนประกาศห้ามการเดินทางของนักท่องเที่ยวจาก 47 หัวเมืองในจีนไปไต้หวันลองจินตนาการดูถึงปรากฏการณ์ที่นักท่องเที่ยวจีนที่มือเติบจำนวน 8,200 คนต่อวันหดหายไปจากไต้หวันในชั่วกระพริบตา
ผมเชื่อมั่นว่า สถานการณ์การเมืองเช่นนี้จะไม่จบลงง่ายๆ รัฐบาลจีนจะใช้จังหวะนี้สอนบทเรียนแก่ผู้บริหารเกาะไต้หวัน โดยอาจปล่อยให้ธุรกิจไต้หวันที่ได้รับผลกระทบกดดันพรรครัฐบาล เราจึงน่าจะเห็นมาตรการ “ปิดกั้น” ด้านการท่องเที่ยวลากยาวข้ามปี
นั่นหมายความว่า เมื่อผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เป็นพลวัตร (Dynamic Zero-Covid Policy) และเปิดกว้างการเข้าออกประเทศแล้วรัฐบาลจีนก็ยังจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อจำกัดการท่องเที่ยวระหว่างกันต่อไปซึ่งนั่นหมายความว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างจีน-ไต้หวันก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก
นี่ก็อาจเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยได้เช่นกันในยุคหลังโควิด-19 ผมกำลังพูดถึงโอกาสทางเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันจำนวนกว่า 3 ล้านคนที่อาจมองหา “ทางเลือกใหม่”
คราวหน้าผมจะพาไปวิเคราะห์ถึงผลกระทบของการซ้อมรบที่มีต่อธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์กันครับ ...
คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 1
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 2
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 3
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" (ตอนจบ)
ภาพจาก AFP