เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" (ตอนจบ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" (ตอนจบ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
ร่ายยาวมาหลายตอน วันนี้ผมจะพาแตะประเด็นผลกระทบที่มีต่อ “โลจิสติกส์” ทางอากาศในภูมิภาค และบทสรุปภาพทางเศรษฐกิจของไต้หวัน ณ สิ้นปีนี้และอนาคต ...
ในส่วนของการเดินทางและการขนส่งสินค้าทางอากาศข้ามช่องแคบไต้หวันก็ได้รับผลกระทบในวงกว้างไม่แพ้กัน จำนวนเที่ยวบินถูกยกเลิกจนแทบเป็นศูนย์ในระยะแรกของการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันระลอกแรก
ซึ่งลดธุรกรรมการค้า และทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงไปสู่ตลาดจีนและประเทศอื่น อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สร้างความเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ ต่อผู้คน ธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจเป็นอันมากในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของไต้หวัน
สถานการณ์เริ่มดีขึ้นโดยลำดับในเวลาต่อมา สายการบินหลักของไต้หวันอย่างไชน่าแอร์ไลน์ (China Airlines) และอีวาแอร์ (Eva Air) หรือ เอเวอร์กรีน แอร์เวย์ (Evergreen Airways) ที่บินเชื่อมกับรวมกว่าเกือบ 200 จุดหมายทั่วโลกต่างต้องจัดตารางบินใหม่ และปรับเส้นทางบินชั่วคราว
โดยเลือกบินอ้อมขึ้นไปทางเหนือของเกาะ ซึ่งใช้เวลาบินเพิ่มขึ้น 20-30 นาที ทำให้มีเครื่องบินเข้าออกเกาะไต้หวันราว 150 เที่ยวบินต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน หลายสายการบินพาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหลักของจีน เช่น ไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ (China Eastern Airlines) และไชน่า เซาท์เทิร์น แอร์ไลน์ (China Southern Airlines) รวมทั้งสายการบินหลักที่ให้บริการในภูมิภาคอย่างเอเอ็นเอ (ANA) ของญี่ปุ่น โคเรียนแอร์ (Korean Air) ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ และสายการบินไทย (Thai Airways) ได้ยกเลิกและปรับตารางเที่ยวบินเข้าออกไต้หวันในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม
ภาพจาก Reuters
อย่างไรก็ดี การขยายพื้นที่และระยะเวลาการซ้อมรบครั้งใหม่สร้างความปวดหัวกับอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคในวงกว้าง จนหลายฝ่ายกังวลใจว่า เส้นทางบินชั่วคราวดังกล่าวก็อาจต้องถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้ง
กระแสข่าวระบุว่า มีการเจรจากันหลายรอบจนในท้ายที่สุดสรุปว่า จีนจะลดความเข้มข้นของการซ้อมรบทางอากาศลง เพื่อเปิดโอกาสให้การบินพาณิชย์กลับมาสู่สภาวะปกติ ซึ่งตามมาด้วยการประกาศเตือน “เบาๆ” ถึงความเสี่ยงในการบินผ่านพื้นที่
อย่างไรก็ดี แต่ละสายการบินที่ให้บริการในภูมิภาคเลือกแนวทางที่แตกต่างกันออกไป หลายสายการบินพยายามกลับมาให้บริการอย่างเป็นปกติ แต่สายการบินจีนส่วนใหญ่เลือกประกาศยกเลิกและปรับเปลี่ยนตารางบินให้ของเดือนสิงหาคมไปแล้ว
สิ่งนี้จะทำให้การเดินทางและขนส่งสินค้าทางอากาศเข้าออกไต้หวัน และประเทศใกล้เคียงมี “ทางเลือก” น้อยลง และต้องใช้เวลาและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะเดียวกัน การเดินทางและการขนส่งสินค้าทางอากาศในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ดูจะมี “ทางเลือก” ของจุดขึ้นลงและเส้นทางบินมากกว่า แต่ก็ไม่วายทำให้ผู้คนและสินค้าได้รับผลกระทบ ผู้โดยสารจำนวนมากประสบกับความยากลำบากมากขึ้นในการเดินทาง ต้องเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางและสนามบินเข้าออกกันเป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่ช่วงที่จีนประสบวิกฤติโควิด-19 ผมก็เชื่อมั่นว่า ผลกระทบจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ดี การขยายความเข้มข้นในการซ้อมรบในครั้งนี้ ทำให้ผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจจะไม่เกิดขึ้นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น การออกมาตรการตอบโต้ใดๆ เพิ่มเติมจะส่งผลข้างเคียงด้านโลจิสติกส์ และด้านอื่นๆ ที่ยาวนานมากขึ้นได้
ภาพจาก Reuters
แม้กระทั่งสหรัฐฯ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น จีนตอกย้ำว่า สหรัฐฯ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ยั่วยุและไม่เคารพในกฎหมายระหว่างประเทศในครั้งนี้
ในระลอกแรก จีนได้ประกาศยกเลิก 8 เวทีความร่วมมือกับสหรัฐฯ อันได้แก่ การเจรจาผู้บัญชาการกองทัพ นโยบายกลาโหม การเดินเรือทหาร การส่งตัวผู้กระทำเข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศ ความช่วยเหลือทางกฎหมายในคดีอาญา การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การปราบปรามยาเสพติด และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
หลายฝ่ายมองว่า มาตรการตอบโต้ผ่านการ “ล้มกระดาน” เวทีความร่วมมือดังกล่าวล้วนเป็นเรื่อง “ไกลตัว” ไม่ครอบคลุมถึงด้านเศรษฐกิจ และยังไม่สะใจสาย “ฮาร์ดคอร์” ของจีนและพันธมิตร
แต่อันที่จริงแล้ว เรื่องเหล่านี้มีหลายประเด็นอ่อนไหวซ่อนอยู่ที่อาจนำไปสู่ความขัดแยแงครั้งใหญ่ของโลกได้ เพราะนับแต่นี้ไป จีนและสหรัฐฯ จะไม่มีเวทีปกติที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือเกี่ยวกับนโยบายความมั่นคง ซึ่งจะทำให้ความพยายามในการลดอาวุธหนักของสองมหาอำนาจโลก และการพัฒนาความร่วมมือทางการทหารระหว่างกันจะหยุดชะงักลง เป็นต้น
และหากเกิดความไม่เข้าใจกันด้านการทหาร หรือการละเมิดอำนาจอธิปไตยใดๆ ระหว่างกัน เช่น เรือบรรทุกเครื่องบินรบ “ยูเอสเอส เรแกน” (USS Reagan) ของสหรัฐฯ ซึ่งปกติก็ป้วนเปี้ยนอยู่ในน่านน้ำบริเวณนั้น ล่วงล้ำเข้าไปในย่านหมู่เกาะที่มีกรณีพิพาทระหว่างประเทศ ก็อาจนำไปสู่การปะทะกันทางการทหาร ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามใหญ่ได้
ภาพจาก Reuters
ขณะเดียวกัน หากชาวอเมริกันเดินทางเข้าจีนอย่างผิดกฎหมาย หรือเป็นคดีรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ผู้ต้องหาเหล่านั้นก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย และต้องรับโทษในจีนตลอดอายุคำพิพากษา
ในกรณีของยาเสพติด สหรัฐฯ และจีนก็อยู่ในโหมด “ระหองระแหง” กันมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวหาว่าจีนไม่ยกระดับการควบคุมเข้มกับการผลิตและลักลอบการส่งออกสารสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์คล้ายฝิ่นไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดยาเสพติดใหญ่สุดของโลก
ความสำเร็จในด้านนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือด้านข้อมูลและปฏิบัติการระหว่างกันอย่างใกล้ชิด แต่มาถึงจุดนี้ ความร่วมมือดังกล่าวก็สิ้นสภาพไปเช่นกัน จีนเลือกที่จะปล่อยให้สหรัฐฯ ไปแก้ไขปัญหาภายในของตนเอง
สภาพที่เราเห็น “คนไร้บ้าน” ในหัวเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ฉีดยาเข้าเส้นตามท้องถนนโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายในปัจจุบันน่าจะขยายวงกว้างขึ้น ปัญหายาเสพติดที่ระบาดหนักในสหรัฐฯ กำลังทำลายเศรษฐกิจและสังคมอเมริกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
หลายคนอ่านถึงตรงนี้ก็อาจนึกย้อนภาพเหตุการณ์ในอดีตที่อังกฤษนำเอาฝิ่นเข้าไป “กล่อมประสาท” ชาวจีนจนอ่อนเปลี้ย และสามารถยึดอำนาจจีนให้อยู่ใต้อาณัติได้ในยุคราชวงศ์ หรือนี่จะเป็นการ “หลี่ตาข้าง” เพื่อเอาคืนของจีน ก็เป็นคำถามในใจของหลายคนอยู่
ภาพจาก Reuters
นอกจากนี้ จีนก็อาจปฏิเสธการถ่ายทอดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานสีเขียวให้กับสหรัฐฯ ในอนาคต แม้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่โปรด้านสิ่งแวดล้อมจากซีกโลกตะวันตก แต่ก็พูดโต้แย้งไม่ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเกรงว่าจะโดนจีนตอกกลับว่า สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะสหรัฐฯ ไปก้าวล่วงในอธิปไตยของจีนก่อนนั่นเอง
ผมเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า การขยายปฏิบัติการซ้อมรบ ก็เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่งของการตอบโต้สหรัฐฯ ในระยะแรกเท่านั้น จีนจะประกาศซ้อมรบถี่ขึ้นในอนาคต และปล่อยอีกหลาย “กระบวนท่า” ตามมาเพื่อให้บทเรียนกับ “การเล่นกับไฟ” ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างในระยะยาว
ในประเด็นผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันที่ท่านผู้อ่านถามกันมามากว่า “คุ้มกันไหม” นั้น หากเราพิจารณาจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ของจีนในภาพรวม ก็อาจประเมินได้ว่า เศรษฐกิจของไต้หวันที่มีขนาดกว่า 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกำลังฟื้นตัวดี จะชะลอตัวลงอย่างมากในครึ่งปีหลัง
ผมประเมินว่า หากจีนยังคงกดดันต่อเนื่องเช่นนี้ ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไต้หวันจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไต้หวันทั้งปี 2022 ที่เดิมนักวิเคราะห์ของหลายสำนักคาดการณ์ว่าจะขยายตัวราว 3.7-3.8% เมื่อเทียบกับของปีก่อน จะหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือเติบโตในปี 2022 ราว 2% เมื่อเทียบกับของปีก่อน
นั่นหมายความว่า เฉพาะในปี 2022 ไต้หวันจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การต้อนรับประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ในครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ ก็ต้องให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูกันครับ นี่ยังไม่นับรวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไต้หวันในระยะถัดไป
เพราะภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ไต้หวันได้กลายเป็นพื้นที่รองรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากไปในทันที หากไม่มีการเจรจาและปรับท่าทีระหว่างจีนและไต้หวันในอนาคตอันใกล้ “วิกฤติไต้หวัน” ก็อาจจะขยายวงไปถึงปี 2023 หรือแม้กระทั่งในระยะยาว
ภาพจาก Reuters
กิจการในไต้หวันบางส่วนที่พึ่งพารายได้หลักจากตลาดจีน มองหาโอกาสในการย้ายการลงทุนข้ามช่องแคบไปอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่กันมากขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายรายก็เตรียมย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 เพื่อรักษาโอกาสทางธุรกิจ และลดความเสี่ยงทางการเมืองในอนาคต
เหล่านี้จะกระทบต่อไปถึงการลงทุนของกิจการท้องถิ่นในไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs การจ้างแรงงานคุณภาพ และอื่นๆ ในระยะยาว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันไม่เพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “สงครามตัวแทน” ที่สหรัฐฯ ใช้ในหลายพื้นที่นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นส่งผลให้ไต้หวันมีสภาพเป็นเพียง “เบี้ย” ตัวหนึ่ง
ภาพจาก Reuters
แต่ไต้หวันยังตกอยู่ใต้อาณัติเสมือน “เมืองขึ้น” ของสหรัฐฯ อีกด้วย ไต้หวันต้องทนแบกรับภาระแรงกดดันทางเศรษฐกิจอันหนักอึ้งที่นักการเมือง “หลายเบอร์” ของสหรัฐฯ เวียนกันมาทิ้ง “ระเบิด” เป็นระยะ
การเดินทางเยือนไต้หวันของแนนซี เปโลซีในครั้งนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งถูกปั่นกระแสจนสร้างความไม่พอใจอย่างมากกับจีนแผ่นดินใหญ่ และกลายเป็น “วิกฤติ” ครั้งใหญ่ในปัจจุบัน
“แผลสด” ที่เปโลซี ทิ้งไว้ให้ไต้หวันอาจกลายเป็น “แผลติดเชื้อร้ายที่เรื้อรัง” จนกว่าจะคิดหา “หมอและยาดีใหม่” มาช่วยรักษาให้หายขาดในอนาคต ...
คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 1
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 2
เมื่อแนนซี เพโลซี จุดเพลิง "วิกฤติไต้หวัน" ตอน 3
ภาพจาก AFP , Reuters