จีนดึงเทสลาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ "บิ๊กเบิ้ม" ในจีน โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
จีนดึงเทสลาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ “บิ๊กเบิ้ม” ในจีน โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ ผมมีโอกาสให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุ102.5 “ฟ้าใส by ศิริวรรณ” และเกริ่นไว้ว่า ลีออนมัสก์ (Elon Musk) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “เทสลา” (Tesla) แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าอัจริยะชื่อดังจากค่ายสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลเซี่ยงไฮ้เกี่ยวกับเงื่อนไขการลงทุนระลอกใหม่ ...
ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมาก็มีข่าวใหญ่ว่า เทสลาได้บรรลุความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ใช้ชื่อเท่ห์ๆ ว่า “เมกะแพ็ค” (Megapack) ในเขตพิเศษหลินกั่ง (Lingang Special Area) นครเซี่ยงไฮ้
โดยแบตเตอรี่ที่จะเป็นผลิตขึ้นดังกล่าวเป็นแบบลิเธียม-ไอออนเพื่อจัดเก็บพลังงาน (Energy-Storage Batteries) ที่มีขนาดใหญ่และกำลังไฟสูงเป็นพิเศษ
“Megapack” ถูกออกแบบเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานให้แก่จีนและตลาดโลก โดยแต่ละยูนิตจะสามารถซัพพลายพลังงานไฟฟ้าให้แก่ 3,600 หลังคาเรือนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
ตามแผนในระยะแรก โรงงานดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตถึง 10,000 ชิ้นต่อปี และจะถูกจำหน่ายในตลาดจีนและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศซึ่งเท่ากับว่า แบตเตอรี่จำนวนดังกล่าวจะมีความสามารถในการเก็บกระแสไฟฟ้าได้เกือบ 40 กิ๊กกะวัตต์ (GWh) เลยทีเดียว
โรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวจะตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า “Gigafactory” ที่บริษัทฯ เริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างโรงงานเมื่อต้นปี2019และใช้เวลาก่อสร้างโรงงานเพียง 10 เดือนก็เริ่มเดินสายการผลิตได้แล้ว
พูดถึงการก่อสร้างโรงงานที่รวดเร็วดังกล่าว ก็เป็นหนึ่งใน “จุดเด่น” ของจีนที่กิจการต่างชาติอาจคาดไม่ถึง ในกรณีของเทสลา “ความเร็วของจีน” (China Speed) ทำให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ของบริษัทฯ ในจีนต่ำกว่าของสหรัฐฯ ถึง 35%
และเพียงไม่กี่ปีหลังการเดินสายการผลิต โรงงานดังกล่าวก็ก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังทำให้ภาพของเซี่ยงไฮ้ในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกโดดเด่นยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน โรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตรถยนต์22,000 คันต่อสัปดาห์โดยในปี 2022แม้ว่าบริษัทฯ ต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ในช่วงวิกฤติโควิดเป็นเวลานานนับเดือน แต่ก็ยังผลิตรถยนต์ไฟฟ้า“Model 3” ได้ถึงราว 711,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งของผลผลิตโดยรวมทั่วโลก
อย่างไรก็ดี นับแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 ตลาดรถยนต์ในจีนก็เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกมาตรการอุดหนุนของรัฐบาลจีนที่ดำเนินการมา 13 ปี ส่งผลให้เทสลาต้องหันไปใช้ “กลยุทธ์ราคา” มากขึ้น โดยลดราคาถึง 2 ครั้งในรอบเพียงไม่กี่เดือน เพื่อหวังกระตุ้นยอดขายและลดระดับสินค้าคงคลังที่มีอยู่
สถิติของสมาคมรถยนต์โดยสารแห่งชาติจีน (China Passenger Car Association) ระบุว่า สถานการณ์ของเทสลาในตลาดจีนในเดือนมีนาคม 2023ดูจะกระเตื้องขึ้นมาก โดยมียอดขาย 88,869 คัน เพิ่มขึ้นราว 35% ของปีที่ผ่านมา เป็นอันดับที่ 2 ตามหลังผู้นำตลาดอย่าง BYD ซึ่งมียอดขายเกือบ 206,090คัน
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังคาดการณ์ว่า ด้วยโมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการบริโภคภายในประเทศของจีนในปีนี้ ทำให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมของจีนในปี 2023 จะเพิ่มขึ้นเป็น 23.6 ล้านคัน จาก 20.5 ล้านคันเมื่อปีก่อน
โดยในจำนวนนี้ คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดจำหน่ายที่ระดับ 8.5 ล้านคัน คิดเป็นถึง 36% ของยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวมในจีน และครองตำแหน่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อไป
แน่นอนว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตแรงดังกล่าวทำให้ความต้องการแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นเทสลาประกาศเดินหน้าการลงทุนดังกล่าว
ประการสำคัญ การลงทุนดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนแม่บทของบริษัทฯ ที่กำหนดว่าจะพัฒนาธุรกิจนี้สู่ “พลังงานยั่งยืน” และตั้งเป้าขยายธุรกิจไปแตะระดับ 100% ภายในปี 2050 ซึ่งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่เซี่ยงไฮ้ดังกล่าวจะเป็นหนึ่งใน “ก้าวย่าง” สำคัญตามแผนแม่บทดังกล่าว
ขณะเดียวกัน หากเราถอดรหัสความคิดของลีออนมัสก์ ก็พบว่า นายใหญ่ของเทสลาประเมินโอกาสและศักยภาพทางธุรกิจของแบตเตอรี่ว่าสูงพอๆ กับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเสมือน “เครื่องมือขุดทอง” ของตนเองในปัจจุบัน
นักวิเคราะห์ในวงการยังเชื่อมั่นว่า ตลาดแบตเตอรี่จัดเก็บกระแสไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จะขยายตัวได้อีกมาก และน่าจะใหญ่กว่าตลาดแบตเตอรี่ผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต
ในชั้นนี้ เทสลามีกำหนดการจะเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในไตรมาสที่ 3 ของปี2023 และคาดว่าจะเดินสายการผลิตได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024
งานนี้ก็ต้องบอกว่า “ความเร็วของจีน” ที่จะใช้เวลาก่อสร้างโรงงานราว 9 เดือน จะช่วยลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาในเวทีโลกไปอีกระดับ
ขณะเดียวกัน การขยายการลงทุนดังกล่าวก็ทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนที่เข้มแข็งอยู่เดิม แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกรวมทั้งยังจะช่วยสนับสนุนนโยบาย “สีเขียว” และเป้าหมายความเป็นกลางด้านคาร์บอนในปี 2060 ควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ โรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งนี้จะเป็นโรงงานที่ 2 ของโลกหลังจากที่เทสลาลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งแรกที่เมืองเลโธรป (Lathrop) มลรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีกำลังการผลิต 10,000 ยูนิตต่อปีเช่นกัน
การประกาศลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งของความสำเร็จในการดำเนินการตามนโยบาย “การปฏิรูปและเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ” และ “การพัฒนาคุณภาพสูง” ของรัฐบาลจีนที่ยืนยันการเปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศควบคู่ไปกับการยกระดับห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมเป้าหมายอยู่ต่อไป
นับแต่ปลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นกระแสข่าวการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ของบริษัทข้ามชาติในจีนมาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ BMW, Volkswagen และ 3Mจนผมแอบอิจฉาว่า จีนมีความพร้อมและวิธีการสานต่อ “นโยบาย” ให้เกิดเป็นรูปธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ
แถมข่าวการลงนามความร่วมมือในการลงทุนของเทสลาในครั้งนี้ก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่แอร์บัส (Airbus) ประกาศขยายกำลังการผลิตเครื่องบินพาณิชย์รุ่น A320 ณ โรงงานผลิตในเทียนจินอีกถึง 2 เท่าตัว ภายหลังจีนลงนามสั่งซื้อเครื่องบินชุดใหญ่ถึง 150 ลำจนเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในโอกาสเยือนจีนของประธานาธิบดีแอมานุแอลมาครง
ต้องมาลุ้นกันต่อว่ากิจการข้ามชาติใดจะเป็นรายถัดไปที่จะประกาศขยายการลงทุนระลอกใหม่ เสริม “การพัฒนาคุณภาพสูง” ของจีน แต่ที่ชัดเจนก็คือ จีนได้กลายเป็น “ผู้นำ” ในการเปลี่ยนเกมส์การแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์จากระบบสันดาปสู่รถยนต์พลังงานทางเลือกในครั้งนี้ ...
ภาพจาก reuters