TNN online ดาวโจนส์ปิดบวก 0.98 จุด นลท.เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนฯ

TNN ONLINE

Wealth

ดาวโจนส์ปิดบวก 0.98 จุด นลท.เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนฯ

ดาวโจนส์ปิดบวก 0.98 จุด นลท.เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนฯ

ดาวโจนส์ ปิดบวก 0.98 จุด เนื่องจากนักลงทุนซื้อหุ้นปรับตัวตามศก. - เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

วันนี้ (20 ก.พ. 64) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรงตัวเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเข้าซื้อหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจซึ่งจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นทันทีที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ชะลอตัวลง


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,494.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.98 จุด หรือ +0.0031%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,906.71 จุด ลดลง 7.26 จุด หรือ -0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,874.46 จุด เพิ่มขึ้น 9.11 จุด หรือ +0.066%


ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.1%, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.7% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.6%


หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งลดลง 1.51% ขณะที่หุ้นบวกนำโดยกลุ่มวัสดุซึ่งเพิ่มขึ้น 1.84%


หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเดียร์ แอนด์ โค และหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มพลังงาน ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%


หุ้นกลุ่มสายการบินในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจะหันไปให้ความสนใจกับการเดินทางเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านพ้นไป


แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ ไมโครซอฟท์, เฟซบุ๊ก, กูเกิล และเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวตามแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้นเกือบทั้งสัปดาห์นี้

          

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์แตะระดับสูงสุดของวันศุกร์ หลังบริษัทเดียร์ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และรายงานผลกำไรมากกว่า 2 เท่าในไตรมาสแรก เนื่องจากมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นสำหรับเครื่องจักรในการทำฟาร์มและการก่อสร้าง

          

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 58.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 71 เดือน จากระดับ 58.7 ในเดือนม.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ


ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 6.69 ล้านยูนิตในเดือนม.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.5% สู่ระดับ 6.61 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ และการขาดแคลนสต็อกบ้านในตลาด และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 23.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง