เปิดผู้เล่นสำคัญในการประชุมโลกร้อน COP26
การประชุมเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่รู้จักกันในนาม COP26 กำลังจะมีขึ้นที่เมืองกลาสโกลว์ สก็อตแลนด์ มีผู้นำและผู้แทนจากเกือบสองร้อยประเทศทั่วโลกเข้าร่วม และโลกกำลังจับตาผู้นำของชาติสำคัญหลัก ที่จุดยืนและเจตนารมย์ จะส่งผลต่อทิศทางการแก้ปัญหานี้ของโลก
กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC นั้นมี 197 ประเทศร่วมลงนาม แต่ก็ยังมีความท้าทายว่าทุกประเทศจะสามารถบรรลุฉันทามติในการแก้ปัญหาสภาพภูอากาศร่วมกันได้อย่างไร
สำนักข่าว Reuters ได้รวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในการประชมสหประชาชาติว่าดเวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก หรือ COP26 ที่จะเริ่มต้นที่เมืองกลาวโกลว์ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
◾◾◾
🔴 จีน
ขณะนี้ จีนคือผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนรายใหญ่สุดของโลก การกระทำของจีนในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นตัวตัดสินว่า โลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายเรื่องการลดโลกร้อนได้หรือไม่ ในขณะที่จีนเองก็ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนเช่นกัน โดยพาะฝนที่ตกลงมาในปริมาณมากจนทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 300 ราย ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศแผนว่าจีนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงสุดในปี 2030 และจะสามารถเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายในปี 2060
จีนยังให้คำมั่นว่าจะระงับการสนับสนุนโครงการถ่านหินในต่างประเทศ และจะเริ่มลดการใช้ถ่านหินภายในประเทศในปี 2026 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาการขาดแคลนพลังงานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เชี่ยวชาญของจีนเริ่มถกกันว่า จีนอาจยังไม่พร้อมที่จะเคลื่อนไหวอย่างแข็งกร้าวในการแก้ปัญหาโลกร้อน
ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่าประธานาธิบดีสี จะไม่เดินทางมาร่วมประชุม COP26 แต่จะส่งนายจ้าว หยิงหมิน รองรัฐมนตรีสิงแวดล้อมมาแทน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า หากไม่มีนายสี โอกาสที่จีนจะประกาศจุดยืนที่หนักแน่นนั้นมีน้อย
◾◾◾
🔴 สหรัฐฯ
ในขณะนี้ สหรัฐฯ คือผู้ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากเป็นอันดับสองของโลก ทั้งนี้ ตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยรวมแล้ว สหรัฐฯ คือผู้ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด
ในปีนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่การประชุมโลกร้อน หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ทำให้ส่งผลต่อความพยายามของประชาคมโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความตระหนักรู้สาธารณะในสหรัฐฯ ต่อปัญหาโลกร้อนนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติที่โหมกระหน่ำสู่สหรัฐฯ ทั้งไฟป่า ภัยแล้ง และพายุ
ประธานาธิบดีไบเดนนำสหรัฐฯ กลับสู่ข้อตกลงปารีสและให้คำมั่นว่า ภายในปี 2030 สหรัฐฯ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้
ราว 50-52% จากระดับที่ปล่อยในปี 2005
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงกลับเผขิญกระแสต้านในสภาคองเกรส นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังขาดนโยบายที่เป็นรูปธรรม ปัญหาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคสำหรับสหรัฐฯ ในการผลักดันให้จีน อินเดีย และบราซิล ทำอะไรมากกว่านี้
◾◾◾
🔴 สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักร คือเจ้าภาพการประชุม COP26 ร่วมกับอิตาลี และสหราชอาณาจักรหวังว่า การประชุมครั้งนี้ จะเป็นการทำพลังงานถ่านหินให้กลายเป็นอดีตไป
ก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรประกาศว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และต่อมายังประกาศว่า ภายในปี 2035 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 78% เมื่อเทียบกับระดับปี 1990
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ยังเผชิญกับความยุ่งยากใจ เพราะแรงกดดันจากสาธารณะให้รัฐบาลระงับโครงการสำรวจน้ำมันและก๊าซในทะเลเหนือ แต่หากทำเช่นนั้น อังกฤษจะต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลงมากขึ้น
◾◾◾
🔴 สหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปซึ่งมีสมาชิก 27 ประเทศ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 8% ของโลก และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา EU พยายามปล่อยก๊าซลดลงเรื่อย ๆ และตั้งเป้าหมายใหม่ว่าจะลดการปล่อยก๊าซลงอย่างน้อย 55% จากระดับของปี 1990 ให้ได้ภายในปี 2030 และปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2050
ขณะนี้ประเทศสมาขิก EU กำลังเจรจากันเรื่องกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
EU จะร่วมเจรจาใน COP26 ในฐานะกลุ่ม และคาดว่าปีนี้อียูจะผลักดันให้ที่ประชุม COP26 ออกกฎระเบียบให้นานาปะเทศตั้งเป้าหมายที่เข้มข้นกว่านี้ทุก ๆ ห้าปี
◾◾◾
🔴 กลุ่มประเทศพัฒนาน้อย หรือ LDCs
LDCs มีสมาชิกคือประเทศที่ยากจนที่สุด 46 ประเทศแต่มีประชากรรวมกันหนึ่งพันล้านคน อยู่ในแอฟริกา เอเชียแปซิฟิก และแคริเบียน ซึ่งเป็นประเทศเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งๆที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยสุด
คาดว่ากลุ่ม LDCs จะผลักดันให้กลุ่มชาติร่ำรวยต้องทำตามพันธสัญญาในการจัดสรรงบประมาณปีละหนึ่งแสนล้านดอลลาร์เพื่อช่วยชาติกำลังพัฒนาในการแก้ปัญหาและรับมือกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มชาติร่ำรวย ยังไม่สามารถทำตามเป้าหมายนี้ได้
◾◾◾
🔴 กลุ่มประเทศทั่วไป
บราซิล แอฟริกาใต้ อินเดีย และจีน อยู่ในกลุ่มดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มนี้มีประชากรรวมกันมากที่สุดและมีเศรรษฐกิจที่กำลังพัฒนา จึงทำให้มีการสร้างมลพิษมาก
แต่ละประเทศเรียกร้องให้กลุ่มชาติร่ำรวยจัดสรรงบในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงให้มากกว่านี้ และเรียกร้องให้ใช้หลักการของความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่า ชาติร่ำรวยที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศมาก ต้องรับผิดชอบต่อปัญหานี้มากกว่าชาติอื่น ๆ
ที่ผ่านมา อินเดียระบุว่า งบประมาณหนึ่งแสนล้านดอลลาร์ต่อปีนั้นไม่เพียงพอ และอินเดียไม่น่าจะรับปากได้ว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ได้ภายในปี
2050 ขณะที่บราซิล ต้องการเงินชดเชยในการยุติการตัดไม้ทำลานป่าแอมะซอน ส่วนแอฟริกาใต้ ต้องการหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ว่าประเทศร่ำรวยจะช่วยเรื่องงบประมาณตามที่สัญญาและมองว่างบควรจะต้องสูงไปถึง 7.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ การประชุม COP26 ยังมีอีกหลายกลุ่มที่เข้าร่วมหารือด้วย ทั้งภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานด้านนี้ ตลอดจนพันธมิตรต่าง ๆ ที่หลายชาติรวมกลุ่มกันเอง เพื่อต่อรองในการเจรจา เช่น กลุ่มพันธมิตรชาติหมู่เกาะ กลุ่มชาติเสี่ยงต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และพันธมิตรเปลี่ยนผ่านพลังงานถ่านหิน เป็นต้น
—————
เรื่อง: ธันย์ชนก จงยศยิ่ง
ภาพ: Hoshang Hashimi / AFP