TNN online "โรคเกาต์เทียม-โรคเกาต์" เกิดจากสาเหตุใด-มีอาการอย่างไร-ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

TNN ONLINE

Health

"โรคเกาต์เทียม-โรคเกาต์" เกิดจากสาเหตุใด-มีอาการอย่างไร-ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

โรคเกาต์เทียม-โรคเกาต์ เกิดจากสาเหตุใด-มีอาการอย่างไร-ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

ทำความรู้จัก "โรคเกาต์เทียม-โรคเกาต์" เกิดจากสาเหตุใด-มีอาการอย่างไร-ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

"โรคเกาต์เทียม-โรคเกาต์" จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าพบแพทย์ และเข้ารับการรักษาอาการมือข้างขวาอักเสบ บวมและมีอาการปวดรุนแรง ภายหลังเดินทางกลับจากลงพื้นที่

เบื้องต้นมีรายงานว่า อาการบวมที่มือด้านขวาของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น สืบเนื่องมาจากอาการข้ออักเสบคล้ายนิ้วล็อก ไม่สามารถกำมือได้ทั้งหมด ลักษณะคล้ายอาการของ "โรคเกาต์เทียม"

ล่าสุดคณะแพทย์ แถลงถึงอาการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าเกิดจากการ อักเสบติดเชื้อของมือ ซึ่งไม่ใช่ โรคเกาต์เทียม

โรคเกาต์และโรคเกาต์เทียม 

โรคเกาต์และโรคเกาต์เทียม เป็นชนิดของโรคข้ออักเสบ

ข้อมูลจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย ได้ระบุไว้ว่า โรคเกาต์ (gout) และโรคเกาต์เทียม (pseudogout) เป็นชนิดของโรคข้ออักเสบ (inflammatory arthritis diseases) ซึ่งเกิดมีสาเหตุจากผลึกเกลือ (crystal-induced arthritis) ที่ก่อให้เกิดอาการปวด บวม ร้อนแดง ที่บริเวณข้อของร่างกาย 

เมื่อพิจารณาจากเฉพาะอาการปวดแล้วอาจไม่สามารถจำแนกชนิดของโรคได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคทั้งสองชนิดมีสาเหตุการเกิดโรคที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

ดังนั้นหากวินิจฉัยโรคได้ไม่ถูกต้องจะทำให้รักษาไม่ถูกต้องตามไปด้วย

โรคเกาต์และโรคเกาต์เทียมเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุหลักของโรคเกาต์

เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งหมายถึงภาวะที่ร่างกายมีระดับกรดยูริกในเลือด (serum uric acid, SUA) สูงกว่าปกติ (สูงกว่า 7 มก./ดล.) ทำให้เกิดการตกผลึกเกลือ "โมโนโซเดียมยูเรต" (monosodium urate; MSU) บริเวณข้อและเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย โดยเฉพาะระยางค์ส่วนปลาย เช่น มือ และ เท้า 

ทั้งอาจทำให้เกิดก้อนโทฟัส (tophus) บริเวณข้อ เนื้อเยื่อผิวหนัง และท่อไตซึ่งอาจนําไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure) ได้ และการสะสมของผลึก MSU นี้ จัดเป็นสิ่งระคายเคืองต่อร่างกายที่จะกระตุ้นกระบวนการอักเสบ (inflammatory response) ทําให้เกิดภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน (acute arthritis) 

สาเหตุหลักของโรคเกาต์เทียม 

เกิดจากการสะสมผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตดีไฮเดรท "calcium pyrophosphate dehydrate (CPPD)" โดยมักจะเกิดพยาธิสภาพขึ้นในข้อบริเวณใหญ่ๆ ของร่างกายและมักจะสะสมบริเวณเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อเท้านั้น ต่างจากโรคเกาต์ที่จะเกิดการตกผลึกเกลือ MSU ในบริเวณข้อและอวัยวะต่างๆ ได้หลายระบบ ผลึกเกลือชนิดดังกล่าวจะมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการปวด บวม และอักเสบตามมา

โรคทั้งสองชนิดทำให้เกิดอาการข้ออักเสบเหมือนกันหรือไม่

โรคทั้งสองชนิดก่อให้เกิดอาการปวดและอักเสบได้เหมือนกัน

โดยโรคเกาต์จะก่อให้เกิดอาการข้ออักเสบเฉียบพลัน บริเวณหัวมือเท้า ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้าแรก (first metatarsophalangeal joint (MTP1) หรือ podagra) 

นอกจากนั้นพบอาการปวดได้ที่บริเวณข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก ข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า เป็นต้น ขณะที่โรคเกาต์เทียมมักจะก่อให้เกิดอาการปวดที่บริเวณข้อใหญ่ ๆ เช่น หัวเข่า (พบมากที่สุด) ข้อเข่า ข้อมือ และข้อไหล่ เป็นต้น

โรคเกาต์เทียม ใครมีความเสี่ยง

โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย นอกจากนี้สามารถพบได้ในผู้ที่มีความผิดปกติทางระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซั่มบางอย่าง เช่น ฮีโมโครมาโตซิส พาราธัยรอยด์ฮอร์โมนสูง แมกนีเซียมในเลือดต่ำ เป็นต้น

อะไรเป็นสิ่งที่ใช้วินิจฉัยแยกโรคทั้งสองชนิดได้

การวินิจฉัยที่แน่ชัดและถูกต้องที่สุดคือการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

โดยเจาะดูดน้ำไขข้อ (joint aspiration) และตรวจผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งหากเป็นโรคเกาต์จะพบผลึกเกลือชนิด MSU ซึ่งมีลักษณะรูปคล้ายเข็ม (needle-like) และหากเป็นโรคเกาต์เทียมจะพบเป็นผลึกเกลือชนิด CPPD ซึ่งมีลักษณะรูปสี่เหลี่ยมคางหมู

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถเจาะน้ำไขข้อตรวจหาผลึกเกลือได้ สามารถพิจารณาความแตกต่างของโรคทั้งสองชนิดง่ายๆจากอาการปวด โดยผู้ป่วยโรคเกาต์มักมีอาการปวดเจ็บข้อแบบเฉียบพลันและเกิดขึ้นทันทีทันใดและหายภายใน 1-2 สัปดาห์ ขณะที่ผู้ป่วยโรคเกาต์เทียม จะการเกิดข้ออักเสบแบบเริ่มปวดอย่างช้าๆ และอาจใช้เวลาหลาย วัน ก่อนที่จะมีเกิดอาการปวดเต็มที่ และปวดนานราว 5-12 วัน

การรักษาโรคเกาต์และเกาต์เทียมเหมือนกันหรือไม่

เนื่องจากโรคทั้งสองชนิดเกิดจากสาเหตุที่ต่างกัน ดังนั้นการรักษาโรคเกาต์และเกาต์เทียมจะใช้ยารักษาที่ต่างกันด้วย

ในการรักษาโรคเกาต์ซึ่งมีสาเหตุจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงนั้นการรักษาจะใช้ยาที่มีฤทธิ์ลดระดับกรดยูริกในเลือด เช่น ยาอัลโลพูรินอล (allopurinol) เป็นต้น 

ใช้ยาบรรเทาอาการปวดและอักเสบของข้อขณะเกิดอาการข้ออักเสบเฉียบพลัน เช่น ยาคลอจิซีน (colchicine) กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และ กลุ่มยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เป็นต้น ร่วมกับการใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่อักเสบ

ขณะที่ในผู้ป่วยโรคเกาต์เทียม ซึ่งมีสาเหตุจากการสะสมผลึกเกลือ CPPD นั้นในปัจจุบันยังไม่มียาที่มีฤทธิ์ลดการสะสมผลึกเกลือ CPPD 

ดังนั้นในการรักษาโรคเกาต์เทียมนั้นจะใช้เฉพาะยาที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและอักเสบเท่านั้นขณะเกิดอาการปวดเท่านั้น โดยสามารถใช้ยาระงับปวดที่ใช้รักษาอาการปวดขณะเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันชนิดเดียวกับโรคเกาต์ เช่น ยากลุ่ม NSIADs และยาคลอจิซีน เป็นต้น

ป้องกันไม่ให้เกิดโรคเกาต์และเกาต์เทียมอย่างไร

การป้องกันการเกิดโรคเกาต์สามารถป้องกันได้

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงการสะสมผลึกเกลือยูเรต เช่น ควบคุมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงยาที่มีผลเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด เป็นต้น

ขณะที่ในโรคเกาต์เทียมยังไม่มีวิธีที่ป้องกันสะสมผลึกเกลือ CPPD ได้ นอกจากแก้ไขที่สาเหตุของโรคที่ชักนำการสร้าง CPDD เช่น การรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น 

หากเกิดอาการปวดบ่อยๆ สามารถใช้ยาระงับปวดต้านอักเสบ เช่น ยาคลอจิซีน ยากลุ่ม NSAIDs ช่วยป้องกันการปวดอักเสบได้ นอกจากนั้นควรรักษาโรคเป็นสาเหตุของพยาธิสภาพโรคเกาต์เทียม เช่น ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง และฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำ เป็นต้น  




ข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล / สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย

ภาพจาก AFP

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง