เมื่อ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาฟื้นคืนชีพ

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเกมดังกล่าว เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พัก เจมี่ วาร์ดี้ ไว้ข้างสนาม และจัดการส่ง แพตสัน ดาก้า กองหน้าชาวแซมเบีย ลงสนามเป็นตัวจริง ซึ่งหัวหอกตัวใหม่ของ เลสเตอร์ ก็ไม่ทำให้ บี-ร็อด ผิดหวังเมื่อ จัดการตะบันแฮตทริกได้ภายในระยะเวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้น (นาทีที่ 45 ,48 และ 54) ก่อนจะซัดประตูที่ 4 ใส่ มอสโก ในนาทีที่ 79 ส่งผลให้ ดาก้า กลายเป็นนักเตะคนแรกของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ยิงแฮตทริกได้ในถ้วยยุโรป

และเป็นดาวเตะแซมเบียรายแรกที่สร้างผลงานแบบเดียวกันนี้ได้ในระดับสโมสรของถ้วยยุโรป โดยไม่นับรวมเกมในรอบคัดเลือก หัวหอกวัย 23 ปียังเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่ยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุด โดยไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ทีมของ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ต้องเสีย เวสลีย์ โฟฟาน่า ไปตั้งแต่ช่วงปรี-ซีซั่นจากอาการบาดเจ็บถึงขี้นขาหัก รวมไปถึง แบ็คขวาดาวรุ่งอย่าง เจมส์ จัสติน แต่พวกเขาก็เสริมทัพด้วยคว้า ไรอัน เบอร์ทรานด์ และ ยานนิค เวสเตอร์การ์ด เข้ามาเสริมแผงหลัง

ที่มาภาพ : AFP

ส่วนตรงกลางก็คว้า บูบาการี่ ซูมาเร่ เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ส่วนแนวรุกนอกจาก แพตสัน ดาก้า แล้วก็ยังมี อเดโมลา ลุคแมน จาก แอร์เบ ไลป์ซิก มาร่วมทีมอีกหนึ่งคน

แม้ว่าช่วงออกสตาร์ทซีซั่น จิ้งจอกสยาม จะคว้าถาดการกุศลอย่าง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ด้วยการชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แถมยังประเดิมฤดูกาลใหม่ด้วยการปราบ วูลฟ์แฮมป์ตัน แต่หลังจากนั้นก็เหมือนกับเครื่องช็อต ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส หลุดฟอร์มเอาดื้อๆ เมื่อเก็บชัยชนะได้เพียง 2 เกมจากการลงสนาม 9 เกมรวมทุกรายการ

มีเพียง เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกพันธุ์ระห่ำเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ยังคงฟอร์มการเล่นอันร้อนฉ่ายิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางฟอร์มอันน่าใจหายของต้นสังกัด

และหากใครได้ติดตามรูปเกมของ เลสเตอร์ ซิตี้ จะสังเกตุได้ว่า พวกเขากลายสภาพจากทีมชุดแชมป์ในยุค เคลาดิโอ รานิเอรี่ ที่ใช้จังหวะโต้กลับเล่นงานคู่แข่ง เปลี่ยนมาเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ที่มีจุดเด่นที่การครอบครองบอลและการเพรสซิ่งในแดนบนตามปรัชญาการทำทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลานับตั้งแต่ที่ เลสเตอร์ คว้าแชมป์ มาถึงตอนนี้ มาทำให้เห็นการเจริญเติบโตของ จิ้งจอกสยาม ตัวนี้อย่างชัดเจน

แม้ว่าพวกเขาจะเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการไม่ได้ แต่สำหรับแนวทางและคาแรกเตอร์ของทีม มันชัดเจนเสียจนบรรดาทีมใหญ่มองข้าม เลสเตอร์ ไม่ได้ไปแล้วในเวลานี้ เพราะพวกเขามักทำให้บรรดาบิ๊กทีมเสียน้ำตามาแล้วนักต่อนัก โดยหลังจากที่ฟอร์มของ เลสเตอร์ ออกทะเลไปพักใหญ่ แต่ดูเหมือนว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา จะกลายเป็นผู้ที่ปลดล็อคให้กับ เลสเตอร์ หลังจากที่พาทัพ ปีศาจแดง พกสถิติไร้เทียมทานเกมเยือน มาทิ้งไว้ในถิ่น คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมื่อสัปดาห์ก่อน

ชัยชนะเหนือ ปีศาจแดง ถือเป็นการเรียกความมั่นใจ และโมเม้นตั้มของทีมได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อทุกอย่างลงล็อคอะไรก็เป็นใจไปหมด ต่อยอดจากการปราบผี พวกเขาก็เดินทางไปปราบ สปาร์ตัก มอสโก ถึงแดนหมีขาว เรียกได้ว่า เลสเตอร์ กำลังกลับมาคึกคักเวลาลงเล่นอีกครั้ง แถมการจูนเครื่องติดในครั้งนี้ พวกเขาเต็มไปด้วยผู้เล่นที่กำลังท็อปฟอร์มพร้อมกัน และยังมีสปิริตทีมที่ยอดเยี่ยมในยุคของ ร็อดเจอร์ส ด้วย

ที่มาภาพ : AFP

เจมี่ วาร์ดี้ ยังคงยิงไปพักตะบันไปแล้ว 7 ประตูครองเดาวซัลโวร่วมกับ โม ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล ในขณะที่ เคเลชี่ อาเฮียนาโช ก็ยังมีบทบาทแอสซิสต์ให้เพื่อนยิงได้อย่างสม่ำเสมอ ส่วน แพตสัน ดาก้า ที่เพิ่้งจะยิงประตูตอกฝาโลงใน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยิงประตูได้ต่อเนื่องและฟอร์มกำลังร้อนแรงเกินห้ามใจ

ส่วนแดนกลางพวกเขาแข็งแกร่งมากๆ เมื่อ บูบาการี่ ซูมาเร่ ปรับตัวได้แล้ว ส่วน วิลฟรีด เอ็นดีดี้ ,ยูริ ติเลม็องส์ ก็กำลังกลับสู่ฟอร์มอันยอดเยี่ยม ในขณะที่ เจมส์ แมดดิสัน ก็หายเจ็บกลับมาแล้ว และโชว์แอสซิสต์ในเกมล่าสุดด้วย รวมไปถึงแข้งอะไหล่ชั้นดีอย่าง อโยเซ่ เปเรซ ได้ลงเมื่อไหร่ได้เรื่องเมื่อนั้น

ดังนั้นจึงน่าสนใจไม่น้อยว่าเมื่อ จิ้งจอกสยาม เครื่องติด พวกเขาจะมีเซอร์ไพร์สอะไรให้เห็นอีกหรือไม่ในฤดูกาลนี้ ก็อยู่ที่มันสมอง แมวมอง และนักเตะทุกคนของ เลสเตอร์ และสิ่งที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ นั่นก็คือการบริหารของคนไทย ที่ได้ใจชาวเมือง เลสเตอร์ ไปเต็ม จนถึงขั้นเรียกได้ว่าบ้านนี้เมืองนี้เป็น เมืองไทย สาขาอังกฤษ ไปแล้ว

และหากยังจำกันได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาปราบทัพ อสูรแดง ได้สำเร็จ ฟอร์มการเล่นของเหล่าแข้ง จิ้งจอกสยาม ก็มักจะท็อปฟอร์มพร้อมๆกัน

ยกตัวอย่างเกมที่ เลสเตอร์ เกือบตกชั้น แต่ดันพลิกกลับมาเอาชนะ แมนฯ ยู ได้สำเร็จ เมื่อปี 2014-15 จนอยู่รอดได้ราวปาฏิหาริย์ ซึ่งโมเม้นต์นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวผ้ายันต์ท่านเจ้าคุณอันลือลั่น ต่อยอดไปถึงความมหัศจรรย์แชมป์พรีเมียร์ลีก เวอร์ชั่น 5000-1 ของ จิ้งจอกสยาม ด้วย