ราคาทองคำปรับขึ้น-ลงแค่ไหน! เมื่อเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

 ราคาทองคำจะเป็นอย่างไรเมื่อเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย  

Gold Bullish 

    ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ

    สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ได้แก่ รัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ สหรัฐและจีน จีนและไต้หวัน

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

Gold Bearish 

    ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%-0.75% ในการประชุมเดือนก.ย.

    การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น

    เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น

 เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% มากขึ้นในการประชุมเดือนก.ย.

ราคาทองคำ spot สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงในระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลที่เฟดมีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งราคาทองคำ spot ในปีนี้ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับต้นปี โดยราคาทองคำปรับตัวลง 4.98% ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้นกว่า 3.31%   

ทั้งนี้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นไปมากกว่าราคาทองคำต่างประเทศ เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วมากสุดในรอบ 16 ปี ซึ่งค่าเงินบาทอ่อนค่าไปกว่า 10.32% ทำให้ทองคำในประเทศน่าซื้อมากกว่าทองคำต่างประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ในอีกช่วง 2 -3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ราคาทองคำยังคงมีแรงกดดันจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งนักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ย. แม้ว่าเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมานั้น เฟดได้เปิดเผยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ขณะที่ข้อมูล CME GROUP ดังกล่าวนั้นนักลงทุนคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในสิ้นปีนี้ คาดดอกเบี้ยสู่ 3.75-4.00% ดังนี้

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงของเฟด อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

ความกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงของเฟดในปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างมีความกังวลเป็นอย่างมากว่าเศรษฐกิจโลกอาจกำลังจะเผชิญต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต ซึ่งนิตยสาร Newsweek ได้เปิดเผยผลการสำรวจพบว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น 

ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและชาวอเมริกาดังต่อไปนี้ 1. ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค 2. การปรับตัวลงของตลาดหุ้น 3. กระทบต่อตลาดแรงงาน 4. แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายคนมีความกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง หรือการเติบโตที่ชะลอตัวลง 

ขณะที่เงินเฟ้อสูง หรือเรียกว่า “Stagflation” รวมถึงการล็อกดาว์นในจีน ซึ่งผลให้นักวิเคราะห์หลายสำนักมีมุมมองเชิงลบมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน โดยพร้อมใจกันลดคาดการณ์การเติบโตสำหรับปี 2565 และมองว่าความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากภาวะปั่นปวนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุดลง

 ทั้งนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโต เพียง 3.5% ในปีนี้ ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 3.9% 5.หนี้สาธารณะสูงขึ้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รัฐบาลสหรัฐจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของแต่ละประเทศปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จนอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ได้ อย่างไรตาม เรามองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้แต่อาจจะไม่รุนแรงมากนัก

 

แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้คาดหากไม่ผ่านแนวต้าน 1,725 ดอลลาร์ ให้ระวังแรงขาย  สัปดาห์นี้สหรัฐจะเปิดเผยดุลการค้าเดือนก.ค. การเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของเฟด 12 เขต  (Beige Book) ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนส.ค. โดยมาร์กิต และ ISM นอกจากนี้ติดตามการแถลงของประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์  คำแถลงการณ์ของนางลาเอล ไบรนาร์ด ผู้ว่าการเฟด  การประชุมธนาคารกลางยุโรปและการแถลงของธนาคารกลางยุโรป

ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่  1,680 ดอลลาร์ และ 1,650 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,740 ดอลลาร์ และ 1,750 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 29,500 บาท และ 29,300 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 29,900 บาท และ 30,000  บาท

ที่มาฮั่วเซ่งเฮง 

ภาพประกอบ  ฮั่วเซ่งเฮง