TNN online “พลิกลิ้น-ฉีกรัฐธรรมนูญ” ธาตุแท้กองทัพเมียนมา ไม่เคยคืนอำนาจสู่ประชา

TNN ONLINE

World

“พลิกลิ้น-ฉีกรัฐธรรมนูญ” ธาตุแท้กองทัพเมียนมา ไม่เคยคืนอำนาจสู่ประชา

“พลิกลิ้น-ฉีกรัฐธรรมนูญ” ธาตุแท้กองทัพเมียนมา ไม่เคยคืนอำนาจสู่ประชา

ในที่สุดความกังวลที่คุกกรุ่นมานานหลายสัปดาห์ก็กลายเป็นจริง กองทัพเมียนมาบุกจับกุม ออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และรัฐมนตรีต่างประเทศ รวมถึงผู้นำทางการเมืองอีกหลายคน ก่อนแถลงการณ์ถ่ายทอดสด ประกาศภาวะฉุกเฉิน 1 ปี

นี่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างเห็นได้ชัด เพราะรัฐธรรมนูญปี 2008 กำหนดว่า กองทัพไม่มีอำนาจแทรกแซงทางการเมือง อีกทั้งเป็นการกลับคำพูด เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กองทัพพึ่งแถลงการณ์ยืนยันจะปกป้องและยึดถือรัฐธรรมนูญของประเทศ รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมชี้ว่า สื่อมวลชนตีความข้อคิดเห็นของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย อย่างไม่ถูกต้อง

โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบีบีซี วิเคราะห์ว่า การจัดกุมผู้นำทางการเมืองอย่างนางซูจี เป็นพฤติกรรมเชิงยั่วยุ และเป็นการวางหมากที่เสี่ยงมากของกองทัพ เพราะประชาชนอาจออกมาแสดงท่าทีคัดค้านได้

ฮิวแมน ไรท์ วอชส์ ชี้ว่า นี่เป็นหลักฐานแล้วว่า กองทัพไม่เคยปล่อยอำนาจคืนให้ประชาชนเลย นี่แหละเป็นความจริงทางการเมืองของเมียนมา กองทัพปกครองเมียนมามาหลายทศวรรษ แม้พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ของนางซูจี จะระดมเสียงประชาชน เอาชนะตามกระบวนการ จนเป็นรัฐบาลได้ ตามรัฐธรรมนูญที่กองทัพก็เป็นคนร่างขึ้นมาเอง แต่กองทัพก็พร้อมจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนั้น

ถ่าน มินต์ อู นักประวัติศาสตร์ที่ประจำอยู่ในนครย่างกุ้งวิเคราะห์ว่า “ประตูแห่งอนาคตได้เปิดขึ้นแล้ว..และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ น่ากลัวว่าจะเกินการควบคุม” หรือถ้าเป็นในความคิดของเขา เมียนมาอาจกลับไปเป็น “ประเทศที่เต็มไปด้วยอาวุธ ความแตกแยกลึกระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และความขัดแย้งทางศาสตร์ กลียุคที่คนหลายล้านคนต้องอดอยาก”
“พลิกลิ้น-ฉีกรัฐธรรมนูญ” ธาตุแท้กองทัพเมียนมา ไม่เคยคืนอำนาจสู่ประชา


การก่อรัฐประหารยึดอำนาจครั้งนี้ ไม่ใช่ผลีผลาม เพราะทันทีที่กองทัพบุกจับกุมนางซูจี นครย่างกุ้งและเมืองใหญ่อีกหลายแห่งทั่วประเทศ ถูกตัดสัญญาณโทรศัพท์ สถานีโทรทัศน์หลัก ‘จอดับ’ ขึ้นมา ด้วยเหตุผลทางเทคนิค

มีรายงานจากคนที่อยู่ในนครย่างกุ้งว่า ประชาชนรับทราบสถานการณ์ เกิดการแตกตื่น ผู้คนแห่กันไปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่กลายเป็นว่า ตู้เอทีเอ็มใช้ไม่ได้เสียแล้ว

ทำไมกองทัพถึงก่อรัฐประหาร ทั้งที่ตนเองมีอำนาจ 25% ในรัฐสภาอยู่แล้ว และมีพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP เป็นนอมินีตัวแทนกองทัพในสภาสมควร

เหตุผลอาจเป็นเพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป กองทัพรู้ดีว่าไม่มีทางจะช่วงชิงอำนาจคืนตามระบอบประชาธิปไตยได้ หลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พรรคเอ็นแอลดี ชนะคะแนนไปอย่างท่วมท้นถึง 83% เป็นการปราชัยรอบสองในรอบทศวรรษ เพราะการเลือกตั้งปี 2015 นางซูจี ก็ชนะขาดลอยไปเช่นกัน

เค้าลางของการรัฐประหารมีมานานแล้ว ก่อนการเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ เพราะพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ปีที่แล้วว่า เขากล้าจะทำทุกอย่าง เพื่อปกป้องชาติ ประชาชน และกองทัพ

“พลิกลิ้น-ฉีกรัฐธรรมนูญ” ธาตุแท้กองทัพเมียนมา ไม่เคยคืนอำนาจสู่ประชา
ก่อนการเลือกตั้งเพียง 6 วัน กองทัพก็ตั้งแง่กับการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้วว่า บกพร่องต่อการเตรียมความพร้อม และอาจส่อให้เกิดการทุจริต

หลังการเลือกตั้งที่ผลคะแนนขาดลอยเช่นนี้ กองทัพก็วางจุดยืน ‘รั้น’ ไม่ยอมรับผลคะแนน อ้างว่ามีการทุจริตกว้างขวางถึง 7 ล้าน 6 แสนคะแนนทั่วประเทศ โดยอ้างอิงข้อมูลที่กองทัพตรวจสอบเอง เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธที่จะส่งมอบเอกสารของเขตเลือกตั้งต่าง ๆ ให้ เนื่องจากขัดกับกฎหมาย

การที่กองทัพตั้ง ‘ทีมข้อมูลข่าวจริงแห่งกองทัพ’ (Tatmadaw True News Information Team)’ แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า จะไม่พึ่ง กกต. ที่มีอำนาจชี้ขาดการเลือกตั้ง

เมื่อเกิดกระแสต่อต้านจากนานาประเทศ รวมถึงเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่สถานทูตต่างชาติ 16 แห่ง รวมถึงสหรัฐฯ และผู้แทนจากสหภาพยุโรป รวมถึงสหประชาชาติด้วย ได้ออกแถลงการณ์ร้องขอให้เมียนมายึดมั่นในบรรทัดฐานแห่งประชาธิปไตย และแสดงท่าทีคัดค้านความพยายามใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง กองทัพก็ไม่รอช้าที่จะออกมาแก้ต่าง ในวันต่อมา ว่า จะยึดมั่นในกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

แต่สื่อต่างชาติที่คุ้นชินกับการปกครองสมัยรัฐบาลทหารจะรู้ดีกว่า นี่เป็นคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นหลักฐานแล้วว่า กองทัพพร้อมจะพลิกลิ้น ฉีกรัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจ โดยไม่สนใจเสียงของประชาชนแค่ไหน

สถานการณ์ต่อจากนี้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอย่าลืมว่า เมียนมาเปลี่ยนไปแล้วตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้สัมผัสกับการปกครองใต้ระบอบประชาธิปไตย ที่แม้จะยังไม่เต็มใบ แต่มันก็โปร่งใสกว่าการอยู่ใต้อำนาจกองทัพ

ออง ซาน ซูจี ที่ถูกโลกวิจารณ์ต่อความเพิกเฉยไม่แก้ปัญหาชาวโรฮิงญาหลายล้านคน ที่เผชิญการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มาวันนี้ เธออาจกลายเป็นวีรสตรีแห่งประชาธิปไตยอีกครั้งก็เป็นได้ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่เธอกำลังถูกจองจำ

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง