TNN online แรงเทขายก่อนหยุดยาว-ยอดโควิดนิวไฮกดดันหุ้นไทยปิดร่วง 7.26 จุด

TNN ONLINE

Wealth

แรงเทขายก่อนหยุดยาว-ยอดโควิดนิวไฮกดดันหุ้นไทยปิดร่วง 7.26 จุด

แรงเทขายก่อนหยุดยาว-ยอดโควิดนิวไฮกดดันหุ้นไทยปิดร่วง 7.26 จุด

หุ้นไทยปิดตลาด ปรับลง 7.26 จุด ที่ระดับ 1,545.10 จุดมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 59,508.14 ล้านบาท เหตุแรงกดดันจากหุ้นเอเชีย -สถานการณ์โควิด-19ในประเทศที่ยอดผู้ติดเชื้อยังนิวไฮต่อเนื่อง ทำนักลงทุนชะลอซื้อก่อนหยุดยาว

วันนี้(23 ก.ค.64)  ดัชนี SET ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,545.10 จุด ปรับลง 7.26 จุด หรือ 0.47% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 59,508.14 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,553.25 จุด และต่ำสุดที่ 1,540.35 จุด โดยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน


นายณัฐพล คำถาเครือผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยถูกกดดันต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยเป็นแรงกดดันจากตลาดหุ้นเอเชีย ภายหลังรัฐบาลจีนออกประกาศควบคุมบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงประตัวลง โดยเฉลี่ยปรับลงราว 0.5% ยกเว้นตลาดหุ้นเวียดนามที่ร่วงหนัก 1.9% จากปัจจัยกดดันเฉพาะตัว

ขณะที่ปัจจัยในประเทศถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนเข้าวันหยุดยาว (24-26 ก.ค.) โดยคาดหวังตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า (27 และ 29-30 ก.ค.) จะปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น รวมถึงการประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2564 ของกลุ่มเศรษฐกิจจริง (Real Sector) เช่น SCC SCGP และ PTTEP

ทั้งนี้ คาดดัชนีแกว่งตัวที่แนวรับ 1,530-1,535 จุด และแนวต้าน 1,560-1,570 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้ ได้แก่ กลุ่มส่งออก กลุ่มยางพารา และกลุ่มยานยนต์ โดยเลือก NER AS และ TAPAC เป็นหุ้นเด่น ส่วนกลุ่มเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงสั้นเท่านั้น แนะนำซื้อเก็งกำไร


ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่นใหญ่จะปรับตัวลง สวนทางตลาดหุ้นในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ส่วนใหญ่จะบวกได้ดีราว 0.6-0.7% ภาพรวมขณะนี้มองไปที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/64 และของครึ่งปีหลัง (H2/64) ซึ่งทางฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป คาดว่าจะออกมาดี และดีต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดอยู่ในทิศทางที่ดูดีกว่าตลาดเอเชียมาก ทำให้เห็นตลาดเอเชียปรับตัวลง จากความกังวลการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงอันเป็นผลจากโควิดระบาดหนัก และการฉีดวัคซีนในเอเชียยังอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ ทำให้อาจจะต้องใช้มาตรการเข้มงวดต่อเนื่อง ซึ่งจะไปกดดันเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นักลงทุนบางส่วนอาจปรับพอร์ตเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่สหรัฐฯจะปรับลด QE ซึ่งคาดว่าจะเร็วสุดสหรัฐฯน่าจะปรับลด QE ในเดือนธ.ค.นี้ นักลงทุนจึงปรับพอร์ตเตรียมไว้ล่วงหน้า และเศรษฐกิจในเอเชียด้อยกว่าฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้เม็ดเงินลงทุนอาจจะไหลออกจากเอเชียไปด้วยส่วนหนึ่ง

ส่วนแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายกิจพณ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งตัว ถึงแกว่งตัวลง โดยให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมี PTTEP, SCC ประกาศงบฯออกมา และคาดว่าจะออกมาใช้ได้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) น่าจะดีน้อยลง โดยมองกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะด้อยกว่าครึ่งปีแรก และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ต่อไป ส่วนนอกประเทศให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 28 ก.ค.นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,535-1,510 จุด ส่วนแนวต้าน 1,563 จุด


สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับได้แก่          

1.STECH  มูลค่าการซื้อขาย  2,495.78  ล้านบาท  ปิดที่   3.28 บาท เพิ่มขึ้น   0.50 บาท

2.KBANK  มูลค่าการซื้อขาย  1,963.67  ล้านบาท  ปิดที่ 105.50 บาท ลดลง    1.50 บาท          

3.PTT    มูลค่าการซื้อขาย  1,492.19  ล้านบาท  ปิดที่  35.75 บาท ลดลง    0.50 บาท

           แรงเทขายก่อนหยุดยาว-ยอดโควิดนิวไฮกดดันหุ้นไทยปิดร่วง 7.26 จุด

ข่าวแนะนำ