กังวลยอดติดเชื้อโควิดในประเทศพุ่ง กดหุ้นไทยปิด ร่วง 15.26 จุด

วันนี้ ( 2 ก.ค.64) ดัชนีหุ้นไทย ปิดที่ระดับ 1,578.49 จุด ลดลง 15.26 จุด (-0.96%) มูลค่าการซื้อขาย 80,922.70 ล้านบาท  โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,596.05 จุด และระดับต่ำสุด 1,574.92 จุด ซึ่งการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาก็เนื่องมาจากความกังวลเรื่องผู้ติดเชื้อโควิดรายวันในประเทศที่พุ่งขึ้นถึง 6,000 คน  ขณะที่โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ยังต้องติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวและการติดเชื้อในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนค่าเงินบาทก็ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง และแนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติมีความเสี่ยงในการขายออก

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้น โดยวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดมีกว่า 6 พันราย ขึ้นทำนิวไฮ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ดังนั้นนักลงทุนจึงเลือกที่จะขายลดความเสี่ยงก่อน

ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ๋ก็ติดลบ ขณะที่ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ ในช่วงรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันนี้ และรอดูผลการประชุมกลุ่มโอเปกในวันนี้ด้วย

ส่วนแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้าคาดว่าตลาดฯคงจะทรงตัวดีขึ้น จากการเข้ามาเล่นหุ้นเก็งงบฯไตรมาส 2/64 อย่างไรก็ดียังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เพื่อดูว่าจะมีมาตรการเพิ่มหรือไม่หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเร่งตัวขึ้น ส่วนนอกประเทศให้ติดตามคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย. ซึ่งให้รอดูจะมีการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่  พร้อมให้แนวรับ 1,565-1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,585-1,595 จุด

ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ ระบุว่า ในช่วงเดือน ก.ค. นักลงทุนยังให้น้ำหนักกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเริ่มแพร่ระบาดของสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วโลก จนอาจนำไปสู่ความกังวลต่อประสิทธิผลของวัคซีนได้ การจัดสรรพอร์ตลงทุนนั้น ดังนั้นอยากแนะนำลงทุนหุ้นที่ทนทานต่อเหตุการณ์โควิด-19ในประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการทำงานที่บ้าน เช่น กลุ่มโลจิสติกส์และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ได้ประโยชน์จากการสั่งดิลิเวอรี่โดยประเมินกรอบดัชนีที่ระดับ1,550-1,650 จุด    

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่  

1.  BANPU   มูลค่าการซื้อขาย  5,935.32  ล้านบาท  ปิดที่  13.50 บาท เพิ่มขึ้น  0.20 บาท

2.  KBANK   มูลค่าการซื้อขาย  5,328.74  ล้านบาท  ปิดที่ 118.50 บาท ลดลง   3.50 บาท

3.  PTT     มูลค่าการซื้อขาย  3,990.32  ล้านบาท  ปิดที่  38.75 บาท ลดลง   0.25 บาท          

4.  GUNKUL  มูลค่าการซื้อขาย  2,379.26  ล้านบาท  ปิดที่   4.80 บาท ลดลง   0.14 บาท

5.  PTTGC   มูลค่าการซื้อขาย  1,532.02  ล้านบาท  ปิดที่  60.00 บาท เพิ่มขึ้น  0.75 บาท