TNN online ดอลลาร์แข็งฉุดบาทอ่อน! จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

TNN ONLINE

Wealth

ดอลลาร์แข็งฉุดบาทอ่อน! จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

ดอลลาร์แข็งฉุดบาทอ่อน! จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังจากที่ดอลลาร์แข็งค่า จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร-ถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.82 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 31.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 


สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทคาดว่าคลื่อนไหวผันผวนและมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง โดยในส่วนแรงกดดันฝั่มาจากทั้งเงินดอลลาร์ โฟลว์ ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้นำเข้าในช่วงปลายเดือน และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ 


โดยมองว่าโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังมีอยู่ และพร้อมแข็งค่าขึ้น หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่งกว่าคาดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ต้องจับตาการระบาดของ COVID-19 เพราะการระบาดที่เลวร้ายลงในยุโรปหรือเอเชีย จะเป็นปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์ 


ขณะเดียวกันในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ปัญหาการระบาดในไทย ก็จะยิ่งกระตุ้นแรงขายสุทธิสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ จนกว่าการแจกจ่ายวัคซีนจะเร่งตัวขึ้นได้ดีขึ้น (อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดสขึ้นไป หากต้องการให้ถึงเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกัน 50% ของประชากรภายในปีนี้) 


นอกเหนือจากฟันด์โฟลว์ขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ควรระวังแรงเทขายบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ทาง J.P. Morgan ได้ปรับสัดส่วนบอนด์ ในดัชนี Government Bond Index – Emerging Markets (GBI-EM) ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนตามดัชนี GBI-EM อาจเทขายบอนด์ไทย 1 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับดัชนีได้ (สัปดาห์ก่อน นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายบอนด์ไทยสุทธิราว 4.3 พันล้านบาท ซึ่งอาจมองได้ว่า นักลงทุนต่างชาติอาจขายบอนด์ได้อีก 5.7 พันล้านบาท )


อย่างไรก็ดี แนวต้านสำคัญของเงินบาทยังอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งเราคาดว่าหากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากในระยะสั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีโอกาสทยอยขายเงินดอลลาร์ เพื่อลดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ออกมาบ้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสถูกสหรัฐฯ มองว่า ประเทศไทยมีการแทรกแซงค่าเงินบาทในทิศทางเดียว ทำให้เงินบาทยังคงแกว่งตัวในช่วง 31.85+/-0.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และไม่เกิน 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปมาก

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.60-32.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.75-31.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจหลายประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้ธนาคารกลางส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายตามเดิม


สำหรับสัปดาห์นี้ควรติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) รวมถึงถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน และ สถานการณ์การระบาด COVID-19 รอบโลก


โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้ ฝั่งสหรัฐฯเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM (Manufacturing PMI) ที่ระดับ 61 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงการขยายตัว) 


ขณะเดียวกันตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวดีขึ้น โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) จะลดลง สู่ระดับ 3.8 แสนราย 


ส่วนยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนมิถุนายนก็จะเพิ่มขึ้นกว่า 7 แสนตำแหน่ง และทำให้อัตราว่างงานในสห รัฐฯ ลดลงเหลือ 5.7% หนุนโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักมากขึ้น หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการทยอยยุติเงินช่วยเหลือผู้ตกงานเพิ่มเติมในหลายรัฐ


ทั้งนี้ภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นยังได้หนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 119 จุด ชี้ว่าการบริโภคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น 


นอกจากนี้ตลาดจะติดตามมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดถึง 4  คน อาทิ Williams, Barkin (วันจันทร์) Quarles (วันอังคาร) และ Bostic (วันพุธ)


ทางด้านยุโรป แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังสดใส หลังการแจกจ่ายวัคซีนคืบหน้ามากขึ้น (ครอบคลุมประชากรเกือบ 40% และ อาจใช้เวลา 3 เดือน เพื่อครอบคลุมประชากร 75%) หนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนมิถุนายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -1.0 จุด สะท้อนว่าการบริโภคของครัวเรือนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง 


ขณะที่ยอดค้าปลีกของเยอรมนี (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม ก็จะขยายตัวกว่า 4.6% จากเดือนก่อนหน้า หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักมากขึ้นจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown


ส่วนในฝั่งเอเชีย  เศรษฐกิจในฝั่งเอเชียโดยรวมยังเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฝั่งญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจได้รับแรงหนุนจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี (ยอดการส่งออกเดือนพฤษภาคมโตเกือบ 50%y/y) ซึ่งการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีนั้นจะช่วยหนุนการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการผลิตอุตสาหกรรม สะท้อนผ่าน ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนพฤษภาคม ที่จะโตขึ้นกว่า 18%y/y


ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ Tankan โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ของฝั่งผู้ผลิตขนาดใหญ่ก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 16 จุด จาก 5 จุด (ดัชนี > 0 หมายถึง แนวโน้มดีขึ้น) 


ทั้งนี้ตลาดจะจับตายอดค้าปลีกของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคมว่าจะขยายตัวได้กว่า 8%y/y หรือไม่ หลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown บางส่วน 


ด้านเวียดนามปัญหาการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่จะกดดันให้ เศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลงได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งตลาดมองว่าจะได้รับผลกระทบจากคลัสเตอร์การระบาดตามนิคมอุตสาหกรรมหรือโรงงาน โดยยอดการส่งออกอาจโต 26%y/y ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่โต 36%y/y 


ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรมก็อาจโตเพียง 9%y/y ทั้งนี้ เศรษฐกิจเวียดนามยังสามารถขยายตัวกว่า 7%y/y ในไตรมาส 2 ส่วนในฝั่งจีนเศรษฐ กิจสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ (Mfg. & Services PMIs) ยังอยู่ที่ระดับ 50.8 จุด และ 55.3 จุด ตามลำดับ (ดัชนี > 0 หมายถึงภาวะขยายตัว)


ขณะที่ไทยปัญหาการระบาดของ COVID-19 และแผนการแจกจ่ายวัคซีนยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ควรติดตามการปรับพอร์ตลงทุนบอนด์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ทาง J.P. Morgan ได้ปรับสัดส่วนบอนด์ ในดัชนี Government Bond Index – Emer ging Markets (GBI-EM) 


โดยเพิ่มบอนด์ Serbia เข้าพอร์ต ทำให้สัดส่วนบอนด์ไทยลดลงราว 0.13%  ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนตามดัชนี GBI-EM อาจเทขายบอนด์ไทย  1 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับดัชนีได้ (สัปดาห์ก่อน นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายบอนด์ไทยสุทธิ  4.3 พันล้านบาท ซึ่งอาจมองได้ว่า นักลงทุนต่างชาติอาจขายบอนด์ได้อีก 5.7 พันล้านบาท )



ข่าวแนะนำ