นาทีทองช้อนหุ้น ! คาดโควิดซาดันตลาดดีดกลับ- ตัวไหนน่าเก็บเติมพอร์ต
โบรกมองหุ้นไทยผันผวนประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,550-1,600 จุด หลังรัฐประกาศล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4 จังหวัดชายแดนใต้ คาดตลาดกลับมาฟื้นหลังโควิดคลี่คลาย แนะลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จากส่งออกโลกฟื้น-พื้นฐานแกร่ง
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (28 มิ.ย. – 2 ก.ค.) ประเมิน SET Index ยังผันผวนสูง ประเมินกรอบแนวรับ – แนวต้าน 1,550-1,600 จุด โดยเฉพาะต้นอาทิตย์เชื่อว่า SET Index ยังมีแรงกดดัน จากปัจจัยในประเทศ คือ ผลของปลายสัปดาห์ที่แล้ว การประกาศกึ่ง Lockdown กทม.-ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนใต้ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วและเริ่มมีผล 28 มิ.ย.64)
โดยจำกัดกิจกรรม หลักๆ เช่น การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านสะดวกซื้อ ให้ซื้อแบบกลับไปบริโภค ประเมิน Sentiment ลบต่อ หุ้นร้านอาหาร , หุ้นห้างสรรพสินค้า หุ้นค้าปลีก สั่งปิดสถานที่ก่อสร้าง สั่งหยุดทำงานก่อสร้าง และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 30 วัน คาดกดดันในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง , กลุ่มร้านวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
สำหรับกลางสัปดาห์เชื่อว่าประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนัก คือ ต่างประเทศ คือ รายงาน PMI ภาคการผลิต ของ เดือน มิย. ของประเทศหัวเรือใหญ่ๆ อาทิ วันที่ 30 มิย ของประเทศจีน , 1 ก.ค. ประ เทศ ยุโรป อังกฤษ สหรัฐ โดยส่วนใหญ่คาดยังทรงตัว หรืออ่อนคัวเล็กน้อยจาก เดือนก่อนหน้า และยืนเหนือ 50 จุด หากออกมาดีกว่าที่ Consensus คาด เชื่อว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นโลก และราคา Commodity
ส่วนปลายสัปดาห์แบ่งเป็น ในประเทศ : 1 ก.ค. ตามแผนรัฐบาล คือเปิดจังหวัด ภูเก็ต Sandbox ต่างประเทศ วันที่ 2 ก.ค. ตลาดจะรอรายงานตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ ซึ่งมีผลต่อทิศทางความ เร็วการส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินตึงตัวของสหรัฐ ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ QE Tapering คือ อัตราการว่างงานสหรัฐ เดือน มิ.ย. Consensus คาดจะลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 5.7% จากเดือนก่อนหน้า 5.8% และจุดสูงสุดกลางปี 2563 ที่ 14.7%
ในวันเดียวกัน ยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ตลาดคาด 6.75 แสนราย เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ที่ออกมา 5.6 แสนราย โดยรวมหาก PMI สหรัฐ และแรงงานสหรัฐออกมาดีกว่าคาดเชื่อว่าจะหนุนต่อค่าเงิน Dollar ยังมีแนวโน้มแข็งค่า และจะทำให้เงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มมีอ่อนค่าต่อ ล่าสุด จะแตะ 32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในภูมิภาคและอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือน)
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมประเมินตลาดหุ้นในช่วงสั้นแม้จะยังถูกปัจจัยในประเทศกดดันจาก Covid ที่ยังมีอยู่ ส่วนประเด็น lockdown ถือว่าปลดล็อกความกังวลเรื่องนี้ไประดับนึงแล้ว (แนะนำติด ตามผู้ติดเชื้อ หากเห็นสัญญาณดีขึ้น คือเริ่มลดลง ควบคุมจำกัดได้ดีขึ้น
ทั้งนี้เชื่อว่าหุ้นพื้นฐานดีๆ ที่ราคาปรับฐานลงมาแรงน่าหาจังหวะสะสม) แต่ค่าเงินบาทที่ยังอยู่แนวโน้มอ่อนค่า ยังเป็นปัจจัยกดดัน Fund Flow ต่างชาติชะลอการไหลเข้า เพราะเงินบาทที่อ่อนนักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่ม สะท้อนจากตลSVI อดทั้งเดือน มิย. (MTD) ต่างชาติ ขายสุทธิ 4.46 พันล้านบาท แต่อีกฝั่งนึงเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นบวกภาคส่งออก ดีต่อหุ้นส่งออก อาทิ กลุ่มเกษตรอาหาร CPF, TFG, TU อิเล็กทรอนิก อาทิ KCE, DELTA ,HANA, กลุ่มยานยนต์ อาทิ AH ,SAT กลุ่มส่งออกเหล็ก MCS
ด้านกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้เน้นหลบเลี่ยงความผันผวน เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีความสัมพันธ์ดัชนีไม่มาก และมีปัจจัยเฉพาะตัวเป็นแรงส่ง
🌟 NER (FV @ 9.50) หุ้นกลุ่มส่งออกยางพาราที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าโดยล่าสุดเงินบาทอยู่ที่ 31.8 บาท/เหรียญฯ(อ่อนค่ากว่า 1.9%mtd) อีกทั้งเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่และเก่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนแนวโน้มธุรกิจยางพาราของ NER จะเติบโตชัดเจนต่อจากนี้ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2564-65 จะเพิ่มขึ้นถึง 87.5% yoy และ 17.4% yoy จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราและทิศทางราคายางพาราเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER เพียง 7 เท่า และคาดหวัง Dividend yield ได้กว่า 5.6% ต่อปี
🌟 BDMS (FV @ 24.00) หุ้นที่แข็งแกร่งสุดกลุ่มฯ และฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบมากสุดในกลุ่มฯ จากธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีเครือข่ายครอบคลุม โดยเชื่อว่าผลประกอบการนับจาก 2Q64 ต่อเนื่องปี 2565 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกทม.อีกทั้ง 2H64 จากความคืบหน้าวัคซีน อาจหนุนผู้ป่วยไทยฟื้นตัวดีกว่าคาด ขณะที่ผู้ป่วย Fly-in คาดหวังทยอยฟื้นตัวบางส่วน คงคาดกำไรปกติปี 2564 โต 43%yoy
🌟 BLA (FV @ 35.00) หนึ่งในหุ้นที่ควรมีไว้ติดพอร์ต เนื่องจากได้ประโยชน์จากแนวโน้ม Bond Yield ขาขึ้น และคาดกำไรสุทธิปี 2564 จะเพิ่มขึ้นถึง 109.6% yoy จากฐานกำไรที่ต่ำในปี 2563 และธุรกิจประกันชีวิตฟื้นตัว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมากขึ้น