หุ้นไทย ปิดบวก 7.91 จุด จากปัจจัยเริ่มมาตรการเปิดเมืองและท่องเที่ยวหนุน

วันนี้ (1 เม.ย.64) ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,595.12 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด (+0.50%) มูลค่าการซื้อขาย 76,941.15 ล้านบาท

โดยบรรยากาศหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปรับในแดนบวกตลอดทั้งวันจนสามารถทะลุ 1,600 จุด ในระยะหนึ่งก่อนปรับลดลงเล็กน้อยจากปัจจัยภายนอกอย่างแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของสหรัฐมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังได้รับแรงหนุนจากการเริ่มมาตรการเปิดเมืองและท่องเที่ยว รวมถึงการขยายฉีดวัคซีนให้ครบทุกจังหวัด ส่งผลให้ดัชนีปิดบวกได้ 

 รายงานข่าวจาก บล.เอเซียพลัส ระบุว่า มุมมองตลาดหุ้นไทยเดือน เม.ย.มีโอกาสปรับขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ จึงได้ปรับเป้าหมายดัชนีปี 64 นี้ที่1,670จุด จากคาดการณ์เดิมที่ 1,550 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว อีกทั้งมีหลายปัจจัยที่คอยสนับสนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว ดังนั้น แนะนำนักลงทุนคงน้ำหนักหุ้นไทยไว้ที่35% โดยใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีมูลค่าน่าสนใจ และยังมีแรงขับเคลื่อนมาตรการภาครัฐ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ แนะนำธ.กรุงเทพ เซ็นเทล บีดีเอ็มเอส ปูนซิเมนต์ไทย บีแอลเอ เป็นต้น

ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่ง Sideway up เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียต่างแกว่งบวก เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกราว 0.5% ตลาดทั่วโลกเคลื่อนไหวคล้าย ๆ กัน บนความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเปิดเผยรายละเอียดแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมการใช้จ่าย 2 เฟสในระยะเวลา 8 ปี แต่ก็มีแรงถ่วงจากความกังวลว่าสหรัฐฯอาจปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล อย่างไรก็ดี ปัจจัยหนุนตลาดมาจากภาพเศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น

อย่างไรก็ดี วันนี้ให้จับตาผลประชุมกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งตลาดคาดว่าจะคงกำลังการผลิตน้ำมัน จาก Demand ยังไม่แข็งแกร่งอันเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 กดดัน นอกจากนี้ให้ติดตาม PMI ภาคการผลิตที่หลายประเทศจะทยอยประกาศออกมา และพรุ่งนี้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (2 เม.ย.) คาดว่า ตลาดฯยังมีลุ้นขึ้นทดสอบ 1,600 จุดได้ และหากผ่านได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,610 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,585 จุด  

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่            

1.DELTA   มูลค่าการซื้อขาย   3,613.30 ล้านบาท  ปิดที่ 324.00 บาท เพิ่มขึ้น 34.00 บาท

2.KBANK   มูลค่าการซื้อขาย   3,040.72 ล้านบาท  ปิดที่ 148.00 บาท เพิ่มขึ้น  3.00 บาท

3.EA      มูลค่าการซื้อขาย   2,673.40 ล้านบาท  ปิดที่  62.75 บาท เพิ่มขึ้น  0.75 บาท

4.PTT     มูลค่าการซื้อขาย   2,140.77 ล้านบาท  ปิดที่  40.75 บาท ลดลง   0.25 บาท

5.BBL     มูลค่าการซื้อขาย   2,073.60 ล้านบาท  ปิดที่ 128.00 บาท เพิ่มขึ้น  2.00 บาท