ทำความรู้จักกับหุ้นน้องใหม่ บมจ. สตาร์ มันนี่ (SM)
ทำความรู้จักกับหุ้นน้องใหม่ บมจ. สตาร์ มันนี่ (SM)
บมจ. สตาร์ มันนี่ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SM” ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565
.
SM ให้บริการ 2 ธุรกิจหลัก 1) ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประเภทสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน (สินเชื่อจำนำทะเบียน) และสินเชื่อที่มีหลักประกัน 2) จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเพื่อการพาณิชย์ ทั้งแบบขายเงินสดและผ่อนชำระ ผ่านร้าน “สตาร์มันนี่” ถือเป็นผู้จัดจำหน่าย รายใหญ่ที่มีสาขาครอบคลุม 7 จังหวัดในภาคตะวันออก โดยเฉพาะระยอง จันทบุรี และชลบุรี รวมถึงมีการให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ทั้งนี้นโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐในโครงการ EEC เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทในอนาคต
SM มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 550 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 800 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 300 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.04 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 612 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,244 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ. สตาร์ มันนี่ เปิดเผยว่าเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในจังหวัดสำคัญ รวมถึงใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโต และยกระดับการให้บริการของบริษัทฯ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าอย่างยั่งยืน
SM มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) บริษัท ธนาธิวัตถ์ จำกัด ถือหุ้นรวม 31.27% 2) กลุ่มครอบครัวลาวัณย์เสถียร ถือหุ้นรวม 29.61% 3) บจก. บัวหลวงเวนเจอร์ส ถือหุ้น 5.82% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) ทั้งนี้ ราคาที่เสนอขายคิดเป็นอัตราส่วน P/E เท่ากับ 23.72 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ 0.09 บาท/หุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ
ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย