TNN online พิษโควิด-ค่าครองชีพพุ่งฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.ปรับลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

TNN ONLINE

Wealth

พิษโควิด-ค่าครองชีพพุ่งฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.ปรับลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

พิษโควิด-ค่าครองชีพพุ่งฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.ปรับลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

หอการค้า เผยประชาชนกังวลสถานการณ์โควิด ค่าครองชีพสูงขึ้น จากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนทำน้ำมันพุ่ง ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.ปรับลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดรอบ 6 เดือน

วันนี้( 8 เม.ย.65) นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมี.ค.65 อยู่ที่ระดับ 42.0 ลดลงจากเดือนก.พ.65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 43.3 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 35.9 38.9 และ 51.1 ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนก.พ.2565 ที่อยู่ในระดับ 37.2 40.1 และ 52.6 ตามลำดับ

พิษโควิด-ค่าครองชีพพุ่งฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.ปรับลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 


โดยเป็นผลมาจากการที่ประชาชนกังวลต่อการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศ, ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น,ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจยังชะลอตัวลง ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง,ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้น,คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ลงเหลือ 3.2% จากเดิมคาด 3.4%, เงินบาทอ่อนค่าลงจากเดือน ก.พ.65


ซึ่งได้ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดน้อยถดลง และระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ประกอบกับเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดังนั้นต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใดและยาวนานเพียงใด ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงต่ำกว่าเป้าหมายการขยายตัวที่ระดับ 2.5-4.0% ในปีนี้ 


ทั้งนี้มองว่า ยังมีสัญญาณบวกที่จะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 จากผลของการที่ ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการให้แก่ผู้เดินทางเข้าประเทศที่เริ่มมีผลแล้วตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 ในการยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง 72 ชม. รวมทั้งลดวันกักตัว ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นแรงหนุนต่อเศรษฐกิจไทยได้


ส่วนความกังวลของหลายฝ่ายว่าจะมียอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น หลังจากเทศกาลสงกรานต์นั้น  มองว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่อวันจะมากหรือน้อย ไม่สำคัญเท่ากับว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่  ซึ่งจะเห็นว่าการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในรอบนี้ ประชาชนและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ  โดยไม่มีการล็อกดาวน์ ซึ่งแตกต่างจากการระบาดในช่วงปี 2563 และ 2564  ประกอบกับขณะนี้ประชาชนในประเทศส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเข็มกระตุ้นแล้ว อีกทั้งมีการเตรียมพร้อมระบบสาธารณสุขเพื่อให้โรคโควิด-19 ให้เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้น การที่มีผู้ติดเชื้อรายวันจำนวนมาก อาจไม่เป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ตราบใดที่ไม่มีการล็อกดาวน์ หรือมีการเข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้าประเทศ


อย่างไรก็ตาม หอการค้า มองว่า หากรัฐบาลสามารถร่นระยะเวลาการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นได้เร็วขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในเดือนก.ค.65 มาเป็น มิ.ย.65 จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มขึ้นได้ 0.1-0.2% ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนกรณีไม่ได้ประกาศเป็นโรคประจำถิ่น ก็อาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้หายไป 0.5% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาท


ที่มา : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 

ภาพประกอบ: พีอาร์หอการค้าไทย 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง