TNN online ระวังธุรกรรมขนาดใหญ่! ปิดดีลท้ายปีหนุนเงินบาทผันผวน

TNN ONLINE

Wealth

ระวังธุรกรรมขนาดใหญ่! ปิดดีลท้ายปีหนุนเงินบาทผันผวน

ระวังธุรกรรมขนาดใหญ่! ปิดดีลท้ายปีหนุนเงินบาทผันผวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.43 บาทต่อดอลลาร์ จับตาโอมิครอนระบาดทั่วโลก ระวังธุรกรรมขนาดใหญ่เข้ามาในตลาดส่งท้ายปีหนุนเงินบาทผันผวน ขณะที่เงินดอลลาร์่อ่อนหลังตลาดเปิดรับความเสี่ยงเพิ่ม

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.43 บาทต่อดอลลาร์ทรงตัวจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า 

ต้องจับตาสถานการณ์การระบาดในประเทศ   หลังเริ่มพบการระบาดในลักษณะคลัสเตอร์ อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การระบาดระลอกใหม่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความรุนแรงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจไม่มากนัก ซึ่งอาจทำให้เงินบาทแกว่งตัว sideways และไม่สามารถแข็งค่าได้เร็ว 


ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถเร่งแจกจ่ายวัคซีนกระตุ้น หรือ แจกจ่ายวัคซีนในกลุ่มเด็ก/เยาวชน ซึ่งข้อมูลล่าสุดในอังกฤษระบุว่า กลุ่มเด็ก/เยาวชน มีอัตราการนอนโรงพยาบาลที่สูงขึ้นเทียบกับการระบาดในระลอกก่อนหน้า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรระมัดระวังความผันผวนในตลาดช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี หากมีธุรกรรมขนาดใหญ่เข้ามาในตลาด ในช่วงที่ธุรกรรมในตลาดโดยรวมเบาบางลงกว่าช่วงปกติ และอาจมีการซื้อขายดอลลาร์อาจทำให้ผันผวนแบบนี้ได้ช่วงท้ายปี


โดยแนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์ อนึ่งตลาดการเงินอาจมีธุรกรรมที่เบาบางในช่วงปลายปี ทำให้ค่าเงินบาทอาจผันผวนในกรอบกว้างได้ หากมีธุรกรรมขนาดใหญ่เข้ามาในตลาด (ค่าเฉลี่ยของกรอบเงินบาทในสัปดาห์สุดท้ายของปีย้อนหลัง 10 ปี จะอยู่ที่ 30 สตางค์ แต่มีบางปีที่กรอบเงินบาทกว้างกว่านั้นมาก เช่น ปี 2011 และ 2020)


ส่วนเงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหว sideways เช่นกัน โดยเรามองว่า ตลาดการเงินอาจไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี ทั้งนี้อาจมีบางช่วงที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอมีแรงหนุนอยู่จากปัญหาการระบาดของโอมิครอนทั่วโลกและแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.20-33.60 บาทต่อดอลลาร์ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.50 บาทต่อดอลลาร์  

 


ทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนทั่วโลกแต่ความรุนแรงอาจไม่ได้น่ากังวลมากนัก หากรัฐบาลสามารถเร่งแจกจ่ายวัคซีนเข็มกระตุ้นได้ โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้


ฝั่งสหรัฐฯแม้ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์สุดท้ายของปีจะมีไม่มากนัก แต่ตลาดจะให้ความสนใจแนวโน้มการระบาดของโอมิครอนในสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มมีความรุนแรงจนน่ากังวลหรือไม่ เพราะผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่าสถานการณ์การระบาดอาจไม่ได้รุนแรงจนน่ากังวล ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา 


อนึ่งแม้ว่าตลาดจะกล้าเปิดรับความเสี่ยง ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่างเงินดอลลาร์ลดลง แต่ปัญหาการระบาดของโอมิครอนทั่วโลก รวมถึงแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด จะยังพอช่วยหนุนไม่ให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปมากและมีแนวโน้มที่จะเห็นเงินดอลลาร์แกว่งตัว sideways จนกว่า ปัญหาการระบาดโอมิครอนจะไม่น่ากังวลอีกต่อไป ถึงจะสามารถเริ่มเห็นแนวโน้มการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ได้

 

ตลาดยุโรป รอติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วยุโรปอย่างใกล้ชิด เพราะหากการระบาดทวีความรุนแรงกว่าคาด ก็อาจกดดันให้รัฐบาลฝั่งยุโรปใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดมากขึ้น กดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจของยูโรโซนชะลอลงได้ ทั้งนี้ เรามองว่า การระบาดในยุโรปอาจใกล้ถึงจุดพีคภายใน 1 เดือนข้างหน้า และมีโอกาสที่จะสงบลงได้ หลังรัฐบาลเร่งแจกจ่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น

 

ขณะที่เอเชีย  ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะส่งสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนผ่าน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤศจิกายน ที่จะปรับตัวขึ้นราว +1.3% จากเดือนก่อนหน้า หนุนโดยความต้องการบริโภคที่เร่งตัวขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown (Pent-up demands) สอดคล้องกับภาพความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 


นอกจากนี้ในภาคการผลิตก็มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี โดยยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนพฤศจิกายน ก็จะโตขึ้นราว +4.8% จากเดือนก่อน สอดคล้องกับภาวะขยายตัวในอัตราเร่งของภาคการผลิต ดังจะเห็นได้จากการปรับตัวขึ้นของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) 


ส่วนในฝั่งจีน ภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing & Non- Manufactu ring PMIs) ในเดือนธันวาคมที่ยังทรงตัว ณ ระดับ 50.1 จุด และ 52 จุด ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เรามองว่า การใช้นโยบายทางการเงินที่มีความผ่อนคลายลงของธนาคารกลางจีน (PBOC) อาทิ การลด Reserve Requirement Ratio และ ล่าสุด การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี อาจช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปีหน้า

 

 

ระวังธุรกรรมขนาดใหญ่! ปิดดีลท้ายปีหนุนเงินบาทผันผวน





ที่มา : ธนาคารกรุงไทย


ภาพประกอบข่าว :  ธนาคารกรุงไทย,พิกซาเบย์


ข่าวแนะนำ