เจาะลึก 'สว.ชุดใหม่' เลือกกันเองสู่สภาสูง : ย้อนรอยวิวัฒนาการระบบ 'สว.ไทย'
![เจาะลึก 'สว.ชุดใหม่' เลือกกันเองสู่สภาสูง : ย้อนรอยวิวัฒนาการระบบ 'สว.ไทย' เจาะลึก 'สว.ชุดใหม่' เลือกกันเองสู่สภาสูง : ย้อนรอยวิวัฒนาการระบบ 'สว.ไทย'](/static/web/166160/d854123a-e88e-4d5f-b804-81068cc35d2e-600.webp)
ระบบเลือกกันเอง ของ สว.67 ที่ว่ากันว่า ซับซ้อนที่สุด จะสามารถสร้างวุฒิสภาที่เข้มแข็ง เป็นกลาง และเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ติดตามคำตอบพร้อมเจาะลึกที่มาและขั้นตอนการเลือกตั้งรูปแบบใหม่นี้ได้ในบทความนี้
การเลือก สว. ชุดใหม่ในปีนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งด้วยระบบใหม่ที่ถูกออกแบบให้มี ความซับซ้อนที่สุด ทั้งในแง่ของการแบ่งกลุ่มอาชีพ ขั้นตอนการคัดเลือก และการเลือกกันเอง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับที่มาของ สว. ชุดใหม่ รวมถึงเจาะลึกระบบการเลือกตั้งที่ซับซ้อนนี้
สว. คือใคร
สว. หรือ สมาชิกวุฒิสภา เป็นตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มีหน้าที่พิจารณากฎหมาย กลั่นกรองและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงสรรหาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ
คุณสมบัติของผู้สมัครเป็น สว.
ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในกลุ่มอาชีพที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี นอกจากนี้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นข้าราชการการเมือง เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
ขั้นตอนการเลือก สว. 2567
1. รับสมัคร: ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ค.นี้ ผู้สนใจสามารถไปสมัครได้ที่อำเภอที่ตัวเองมีความเกี่ยวข้อง เช่น เป็นภูมิลำเนา อยู่ทะเบียนบ้าน หรือเคยทำงาน/ศึกษา
2. เลือกระดับอำเภอ: วันที่ 9 มิ.ย. ผู้สมัครจะถูกแบ่งตามกลุ่มอาชีพและเลือกกันเองภายในกลุ่ม 5 อันดับแรกของกลุ่มจะได้ไปลงเลือกต่อในระดับจังหวัด
3. เลือกระดับจังหวัด: วันที่ 16 มิ.ย. ผู้ชนะจากแต่ละกลุ่มในแต่ละอำเภอจะมาแข่งขันกันใหม่ 2 อันดับแรกของกลุ่มจะผ่านเข้ารอบระดับประเทศ
4. เลือกระดับประเทศ: วันที่ 26 มิ.ย. ผู้ชนะจากแต่ละจังหวัดจะมาเลือกกันใหม่อีกรอบ 10 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจะได้เป็น สว. สำรองอีก 5 คน
ซับซ้อนยังไง
ระบบการเลือก สว. แบบใหม่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความซับซ้อนเกินจำเป็น ทั้งการแบ่งกลุ่มผู้สมัครตามอาชีพ การเลือกกันเองหลายรอบทั้งในระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ รวมถึงการใช้ระบบเลือกไขว้ข้ามกลุ่ม
ยกตัวอย่างเช่น
สมมุติมีผู้สมัคร สว.จากกลุ่มอาชีพครู 10 คน ในระดับอำเภอ
ครูเหล่านี้จะต้องเลือกกันเองภายในกลุ่มก่อน เพื่อให้เหลือ 5 คนสุดท้าย ก่อนจะไปแข่งขันอีกรอบในระดับจังหวัด เพื่อคัดเหลือเพียง 2 คนเท่านั้น ที่จะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายระดับประเทศ ซึ่งจะมีตัวแทนแต่ละกลุ่มอาชีพ จากทุกจังหวัดมาแข่งขันอีกครั้ง เพื่อคัด 10 คนเป็น สว. และอีก 5 คนเป็นสำรอง
นอกจากนั้น ในบางรอบการเลือก สมาชิกกลุ่มอื่นๆ ยังสามารถโหวตให้คะแนนข้ามกลุ่มได้ด้วย เช่น กลุ่มครูอาจถูกกลุ่มทหารและตำรวจโหวตให้คะแนนด้วย เป็นต้น กระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ ทำให้เกิดข้อกังวลหลายประการ
ประการแรก คือ การแบ่งกลุ่มอาชีพเพียง 20 กลุ่ม อาจไม่สะท้อนความหลากหลายและสัดส่วนที่แท้จริงของแต่ละกลุ่มในสังคม เช่น กลุ่มคนงานและแรงงานมีเพียงกลุ่มเดียว แต่กลุ่มนายทุนกลับมีหลายกลุ่ม เป็นต้น อีกทั้งบางกลุ่มที่ถูกรวมไว้ด้วยกัน เช่น สิ่งแวดล้อมกับอสังหาฯ และพลังงาน ก็อาจมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ทำให้ไม่ได้สะท้อนความหลากหลายอย่างแท้จริง
ประการที่สอง กระบวนการคัดเลือกหลายรอบตามระดับพื้นที่ อาจทำให้บางกลุ่มไม่มีตัวแทนเลยในท้ายที่สุด เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ หรือชาติพันธุ์ อาจกระจายอยู่ทุกพื้นที่ แต่อาจไม่มากพอที่จะผ่านการคัดเลือกหลายรอบในแต่ละระดับ จึงไม่มีตัวแทนไปถึงรอบสุดท้าย
ประกอบกับระบบเลือกไขว้ที่ไม่ได้จำกัดการโหวตไว้เฉพาะภายในกลุ่ม อาจทำให้คนที่ได้รับเลือกไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงจากสาขานั้นๆ แต่เป็นคนที่ได้คะแนนข้ามกลุ่มมามากกว่า
ที่สำคัญที่สุด คือการเลือกโดยจำกัดผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนและปิดกั้นการรณรงค์หาเสียง ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่สามารถมีส่วนร่วมหรือรับรู้นโยบายของผู้สมัครได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ สว. ที่ได้รับเลือกมาเป็นเพียงตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ ที่อาศัยเงิน อายุ และเครือข่าย มากกว่าเป็นตัวแทนปวงชนที่แท้จริง
สรุปว่า ระบบเลือก สว. แบบใหม่นี้ ถูกมองว่าซับซ้อนเกินไป เปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์เข้ามาแทรกแซงง่าย อีกทั้งยังจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ความกังวลเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ทบทวนระบบใหม่ ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม และเปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณชนให้มากที่สุด
ย้อนรอยที่มา สว. ทุกยุค สู่ "สว.67" ระบบเลือกกันเองที่ซับซ้อนที่สุด
ระบบการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของไทยผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย แต่ละยุคมีที่มา วิธีการ และบทบาทแตกต่างกัน เริ่มจากยุคก่อนประชาธิปไตยที่ สว.มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
สู่ยุคประชาธิปไตยเบ่งบานที่ประชาชนได้เลือกตั้ง สว. โดยตรงทั่วประเทศ ก่อนเข้าสู่ยุคผสมผสานที่มีทั้ง สว.เลือกตั้งและ สว.สรรหา ในสัดส่วน 75% ต่อ 25% เพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาทำหน้าที่ด้วย
จนกระทั่งยุคปัจจุบัน เราได้เห็น "สว.67" ที่มาจากระบบ "เลือกกันเอง" ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนจาก 20 กลุ่มอาชีพส่งตัวแทนมาทำหน้าที่ในสภาสูง แต่ใช้วิธีการคัดเลือกที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ท่ามกลางการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ บทบาทของ สว. ในการตรวจสอบถ่วงดุลและสร้างความสมดุลให้ระบบการเมือง ยังคงสำคัญอย่างยิ่ง ความสำเร็จของระบบ "เลือกกันเอง" ในอนาคต จะขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชน กลไกการตรวจสอบ และความโปร่งใสในทุกขั้นตอน
20 กลุ่มวิชาชีพ
การเลือก สว.ครั้งนี้ มีการแบ่งออกเป็น 20 กลุ่มอาชีพ ให้แต่ละกลุ่มได้ส่งตัวแทนสมัครและเลือกกันเอง ทั้งกลุ่มราชการ กฎหมาย การศึกษา สาธารณสุข เกษตรกร แรงงาน SMEs วิทยาศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ประชาสังคม และอื่นๆ เป็นต้น โดยผู้สมัครต้องเลือกสมัครในกลุ่มที่ตัวเองสังกัดอยู่
มองอนาคต บทบาท-อำนาจหน้าที่ของ สว. ชุดใหม่
สว. หรือ สมาชิกวุฒิสภา ถือเป็นองค์กรที่มีความสำคัญในระบบรัฐสภาของไทย เพราะเป็นผู้แทนปวงชนที่ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร และทำหน้าที่อื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
สว. ชุดใหม่ 2567 กับ 4 ภารกิจสำคัญ
1. ขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ
สว. มีบทบาทหลักในการผลักดันการปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งออกกฎหมาย กำกับการทำงานรัฐบาล และรับฟังเสียงประชาชน
2. เปิดทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หาก สว. 1 ใน 3 เห็นชอบ สามารถเสนอตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นปฏิรูปการเมือง
3. ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาล
สว. ทำหน้าที่เช็กการทำงานรัฐบาลอย่างเข้มข้น ผ่านกระทู้ถาม อภิปรายทั่วไป และตั้งกรรมาธิการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อประชาชน
4. สรรหาผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ
สว. มีอำนาจเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญขององค์กรอิสระต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมมาทำหน้าที่
ความแตกต่างจาก สว. ชุดที่แล้ว
จุดเด่นของ สว. ชุดใหม่นี้ คือการได้มาจากระบบเลือกกันเองตามกลุ่มอาชีพ ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ต่างจาก สว. ชุดก่อนที่มาจากการสรรหาและแต่งตั้ง นอกจากนี้ สว. ชุดใหม่ยังมีความหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมทั้ง 20 กลุ่มอาชีพ
อีกทั้ง สว. ชุดนี้จะไม่มีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แต่จะเน้นไปที่การทำหน้าที่นิติบัญญัติและตรวจสอบรัฐบาลเป็นหลัก จึงทำให้มีความเป็นอิสระและเป็นกลางทางการเมืองมากขึ้น
สรุป
สว. ชุดใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการสานต่อการปฏิรูปประเทศ ถ่วงดุลอำนาจรัฐบาล รวมถึงเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยที่มาจากการเลือกกันเองจาก 20 กลุ่มอาชีพ เราจึงมีความหวังว่า สว. ชุดนี้ น่าจะเป็นตัวแทนที่สะท้อนเสียงของประชาชนได้อย่างหลากหลายและแท้จริงมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการเมืองให้มีความเข้มแข็ง เสถียรภาพ และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่แท้จริงของ สว. ชุดใหม่นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพและจริยธรรมของ สว. เอง การมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากภาคประชาชน รวมถึงการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่าง สว. กับ สส. และรัฐบาล
หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองแล้ว เราก็มีความหวังว่า สว. ชุดใหม่นี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวหน้า มั่นคง และสงบสุข อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ เราทุกคนในฐานะพลเมือง ก็ควรจะให้ความสนใจ ติดตาม และมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง สว. รวมถึงการทำงานของ สว. ชุดใหม่นี้ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว อนาคตของบ้านเมืองเป็นเรื่องที่เราทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง และมีบทบาทในการกำหนดทิศทางร่วมกัน
อ้างอิง
- เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
- สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN