TNN online น้ำโซดารสซ่าจากบ่อบาดาล กรมอนามัยตอบชัดดื่มได้หรือไม่?

TNN ONLINE

Health

น้ำโซดารสซ่าจากบ่อบาดาล กรมอนามัยตอบชัดดื่มได้หรือไม่?

น้ำโซดารสซ่าจากบ่อบาดาล กรมอนามัยตอบชัดดื่มได้หรือไม่?

กรมอนามัยตอบชัด น้ำโซดารสซ่าชาวบ้านเจาะได้จากบ่อบาดาล นำมาดื่มได้ทันทีหรือไม่?

วันนี้ ( 11 เม.ย. 66 )นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย  เปิดเผยว่า จากกรณีข่าวที่ประชาชนเจาะบ่อบาดาลเจอน้ำโซดา รสซ่าติดลิ้น ซึ่งน้ำบาดาลดังกล่าวเป็นน้ำดิบที่ยังไม่ผ่านการทดสอบคุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการนำมาดื่ม ทั้งตามเกณฑ์คุณภาพน้ำบาดาลเพื่อการบริโภคและเกณฑ์เสนอแนะคุณภาพน้ำบริโภคเพื่อการเฝ้าระวังกรมอนามัย พ.ศ. 2563 ทั้งนี้แม้น้ำดังกล่าวจะผ่านการทดสอบคุณภาพน้ำจากห้องปฏิบัติการแล้ว อาจจะมีการปนเปื้อนทั้งสารเคมีและเชื้อโรค จึงต้องผ่านการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนนำมาดื่ม เช่น การตกตะกอน การกรอง และฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น


“สำหรับการขุดบ่อบาดาลตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนด เขตน้ำบาดาลและความลึกของน้ำบาดาล พ.ศ. 2554 กำหนดให้ท้องที่ของแต่ละจังหวัดในราชอาณาจักรไทยเป็นเขตน้ำบาดาลและให้น้ำบาดาลที่อยู่ลึกจากผิวดินลงไปเกินกว่า 15 เมตร เป็นน้ำบาดาล ส่วนขนาดบ่อหรือการใช้น้ำบาดาล หากบ่อน้ำบาดาลนั้นๆ มีความลึก เกินกว่า 15 เมตร จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ถูกต้อง มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย กรมอนามัยจึงประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแนะนำประเด็นทางกฎหมาย การขออนุญาตขุดเจาะบ่อบาดาลหากยังไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตให้ขออนุญาตขุดเจาะบ่อบาดาลด้วย เนื่องจากบ่อบาดาลที่ชาวบ้านขุดลึก 70 เมตร อยู่ห่างจากระบบประปาหมู่บ้านเพียง 200 เมตร อาจเข้าข่ายความผิดเจาะบ่อบาดาลโดยไม่ได้ขออนุญาต” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว


นายแพทย์อรรถพล กล่าวต่อไปว่า น้ำที่เหมาะสำหรับการบริโภคในครัวเรือนนั้น ควรมีคุณภาพตามเกณฑ์แนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งกรมอนามัยใช้เป็นแนวทางในการจัดทำเกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้มาโดยตลอด ตามประกาศกรมอนามัย เรื่อง เกณฑ์เสนอแนะคุณภาพน้ำบริโภคเพื่อการเฝ้าระวัง กรมอนามัย พ.ศ. 2563 ได้กำหนดเกณฑ์เพื่อชี้วัดคุณภาพน้ำบริโภคที่เหมาะสมสำหรับการบริโภค ประกอบไปด้วยเกณฑ์ทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวม 21 รายการ เพื่อใช้สำหรับการประเมินคุณภาพน้ำบริโภคให้เหมาะสมกับการบริโภคในครัวเรือนและสนับสนุนให้ประชาชนได้มีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาด ปลอดภัยต่อไป”


ข้อมูลจาก :  กรมอนามัย 

ภาพจาก :  AFP 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง