เช็กกันสักนิดแค่ "ปวดหลัง-เหงื่อออก" ก็อาจเป็นอาการติดโอมิครอน
เช็กกันสักนิดอาการป่วยของโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน หลักมีทั้งหมด 8 อาการ แต่มี 2 อาการใหม่ที่ส่งสัญญาณเตือนว่า อาจเข้าข่ายติดเชื้อ
วันนี้ ( 28 ธ.ค. 64 )โควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ขณะนี้แพร่กระจายไปแล้วมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด แม้ว่าในเรื่องความรุนแรงจะไม่หนักเท่าสายพันธุ์เดลตา และโอมิครอนจะกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนเป็นหลักมากกว่าอาการของเชื้อลงปอด โดยพบว่า ร้อยละ 54 มีอาการไอ //ร้อยละ 37 มีอาการเจ็บคอ และพบว่าร้อยละ 29 มีไข้ ขณะที่มีอาการใหม่ของผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน ซึ่งแตกต่างไปจากโควิดสายพันธุ์อื่นๆที่พบก่อนหน้า
ข้อมูลจากศาสตราจารย์ ทิม สเปคเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาทางพันธุกรรม ของมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ หัวหน้าคณะวิจัย โซ (ZOE Covid App Symptom) ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอาการผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด "สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron ) ที่แม้จะอาการคล้ายไข้หวัด แต่มี 2อาการใหม่ที่น่าสนใจและอาจแสดงให้เห็นสัญญาณว่าคนนั้นติดโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน อาการแรก คือ การที่เหงื่อออกจำนวนมากขณะนอนหลับแม้ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศที่เย็น ทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นต้องถอดเสื้อผ้าเพราะเหงื่อออกจำนวนมาก //และอาการใหม่ที่ตรวจพบล่าสุด ก็คือ อาการปวดหลังส่วนล่าง ซึ่งอาการปวดหลังส่วนล่าง เป็นอาการที่พบมากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามผลการศึกษาวิจัยของแพทย์ทั่วไปในแอฟริกาใต้
สำหรับผู้ป่วยโอมิครอนในระยะแรกที่ตรวจพบ มักจะมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่
1. เจ็บคอ
2. เหนื่อยล้า
3.ปวดศีรษะ
4.ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
5.น้ำมูกไหล
6.จาม
การที่ผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อยแต่ก็สามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พบว่าผู้ป่วยบางรายยังมีอาการถ่ายเหลวอีกด้วย ซึ่งข้อบ่งชี้เหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ต้องระวัง ส่วนใหญ่ในภาพรวมของอาการไม่มาก
ด้านกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลย้ำถึงการใช้หน้ากากผ้าหน้าทั่วไป ไม่สามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ได้ พร้อม แนะนำใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์แบบ 3 ชั้นแทน แต่สามารถสวมหน้ากากผ้าทับหน้ากากอนามัยได้ ขณะที่พบว่าผู้ติดเชื้อ และผู้เสี่ยงรับเชื้อหากไม่สวมหน้ากากอนามัย และผู้ติดเชื้อไอ หรือจาม จะทำให้ มีความเสี่ยงสูงมากในการติดเชื้อ แต่ความเสี่ยงจะน้อยลงจนกลายเป็นเสี่ยง ต่ำ และเสี่ยงต่ำมาก หากทั้งผู้ติดเชื้อ และผู้เสี่ยงรับเชื้อสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่าง
ภาพจาก : AFP