จัดพอร์ตลงทุนรับมือตลาดผันผวน เน้นกลุ่ม Quality growth ตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป
SCB CIO มองตลาดประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัว หลังวิกฤติโควิดคลาย แนะสะสมหุ้นสหรัฐ - ยุโรปในช่วงที่ตลาดผันผวน เน้นกลุ่ม Quality growth คาดผลประกอบการโตเด่น ส่วนอาเซียนเชียร์ลงทุนในเวียดนาม ขณะที่ไทย valuation ตึงตัว
ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส, Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยในงานสัมมนา “Business of the Future” ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจทำนโยบายเศรษฐกิจทั้งทางด้านการเงินและการคลังที่แตกต่างกันโดยประเทศในกลุ่ม Developed Markets (DMs) เช่น สหรัฐฯ และ อังกฤษ ที่เริ่มส่งสัญญาณถอนคันเร่งนโยบายการเงิน โดยชะลอการเข้าซื้อพันธบัตร (QE tapering) และเตรียมขึ้นดอกเบี้ย
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ Emerging markets ผ่านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและความผันผวนของกระแสเงินทุน (fund flows) สำหรับนโยบายการคลัง การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมามีต้นทุนสูงสะท้อนจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงที่แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราวแต่น่าจะใช้เวลาพอสมควรในการชะลอลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกลุ่ม DMs จะค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริง (real yields) จะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต ดังนั้น ผลกระทบต่อ valuation หุ้นกลุ่ม Quality growth อยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังได้รับแรงหนุนจากกระแสแนวโน้มธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤต COVID-19 (new normal in business trends)
สำหรับ ความเสี่ยงหลักของหุ้นกลุ่ม Quality growth คือ ผลกระทบจากการขึ้นภาษี เช่น ในกรณีของสหรัฐฯ อาจทำได้ไม่มากเท่ากับที่ประกาศไว้เนื่องจากการทำมาตรการโครงสร้างพื้นฐานอาจมีการลดขนาดให้เล็กลง และการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ภาครัฐ (Regulatory risks)
ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ SCB CIO มองว่าการมีหุ้นในกลุ่ม Value ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีการขยับขึ้นเร็ว
กลุ่ม Developed markets มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ดี หรือ หดตัวน้อยในช่วงวิกฤติ ทำให้มีการฟื้นตัวของกำไรและความสามารถในการทำกำไรในระยะข้างหน้าของบริษัทจดทะเบียนได้ดีกว่าตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ช่วงตลาดผันผวนควรเข้าสะสมหุ้นกลุ่มสหรัฐ และยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหุ้นญี่ปุ่น ก็มีความน่าสนใจ จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และราคาหุ้นไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาด DMs อื่นๆ
ด้านส่วนการลงทุนในจีน ตลาดหุ้น A-Share ที่ neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity และคงมุมมองตลาดหุ้นจีน H- Share ที่ slightly negative เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของรัฐที่มีแนวโน้มยืดเยื้ออยู่ค่อนข้างมาก
ด้านตลาดหุ้นอาเซียน เวียดนามยังคงน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจและผลประกอบการ จะชะลอลงในช่วงไตรมาส 3 / 2021 แต่ตลาดหุ้นได้สะท้อนการรับรู้ไปบ้างแล้ว โดยในระยะข้างหน้า น่าจะมีการฟื้นตัวได้ของภาคการส่งออกตามเศรษฐกิจโลก และความคืบหน้าในการนำเข้าและฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงต่อสายพันธุ์เดลต้า ทำให้การเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาได้
ส่วนตลาดหุ้นไทย มองเป็น slightly negative จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรที่เสี่ยงถูกปรับลดลง และความตึงตัวของ valuation เมื่อเทียบกับตลาดอาเซียนอื่น ด้านราคาน้ำมัน ปรับมุมมองเป็น Neutral จากการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน ซึ่งได้อานิสงค์จากการเปิดเมือง และแนวโน้มการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศพัฒนาแล้วดีขึ้น
รวมถึงการหันมาใช้น้ำมันมากขึ้นทดแทนก๊าซธรรมชาติที่มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีมุมมอง slightly negative สำหรับทองคำที่จะได้รับผลกระทบจาก QE tapering และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (real yields ) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสำหรับ Asian REITs ที่การปิดเมืองมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Transformation มี 3 กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ
1) ธุรกิจเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) ที่ครอบคลุมและต่อยอดออกไปในหลายอุตสาหกรรม และการมาถึงของ Decentralized Finance การขยายตัวของบริษัทแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจะทำให้รูปแบบธุรกิจการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากในอดีต และเปิดโอกาสการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Fintech และ Blockchain ได้อย่างมาก
2) ธุรกิจด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) มองว่า การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัทและองค์กรทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งในโอกาสการลงทุนในบริษัทที่กำลังเติบโตและเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสหรือมัลแวร์ (Anti-Virus/Anti-Malware) การยืนยันตัวตน (Authentication) และการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)
3) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงาน สอดคล้องกับเทรนด์การลงทุนในอนาคตที่รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโดยมุ่งหน้าสู่การลดการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรกับธรรมชาติ
ทั้งนี้ การลงทุนในระยะยาวสำหรับหุ้นใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม Transformation SCB CIO มองว่า การคัดเลือกบริษัทที่เป็นผู้นำในกลุ่มจะมีแนวโน้มสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ยังสูงต่อเนื่องในอนาคต
นอกจากนี้ การลงทุนหุ้นในกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นอีกธีมการลงทุนยอดนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแกนในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่เข้าลงทุนควบคู่ไปกับ 3 เทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตข้างต้นได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ผู้ลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้นค่อนข้างมาก แต่ตามสถิติ หุ้นในกลุ่ม ESG ค่อนข้างจะเผชิญความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาด และมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงตลาดปรับฐาน
ดังนั้น การลงทุนที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG จึงมีแนวโน้มสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์อ้างอิงที่ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดโดยรวมได้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เม็ดเงินการลงทุนหุ้นในธีม ESG มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ที่มา : ธนาคารไทยพาณิชย์
ภาพประกอบ :ธนาคารไทยพาณิชย์