เงินบาทผันผวน! นักลงทุนวิตกโควิดลากยาว-เฟดลดคิวอีปีนี้
ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อย มองแนวโน้มผันผวนวิตกเฟดลดคิวอี ผสมโรงผู้ส่งออกทยอยขายดอลลาร์- นักลงทุนปิดสถานะหลังจากสถานการณ์โควิดใกล้ถึงจุดเลวร้ายสุด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อน ค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแนวโน้มผันผวนจากโฟลว์การทำธุรกรรมของผู้ส่งออกบางส่วนที่กลับเข้ามาทยอยขายเงินดอลลาร์ได้ รวมถึงโฟลว์การขายทำกำไร Shorts ค่าเงินบาทของผู้เล่นในตลาด หลังจากที่ผู้เล่นบางส่วนเริ่มมองว่า สถานการณ์การระ บาดในไทยใกล้จะถึงจุดเลวร้ายสุด
อย่างไรก็ดี มองว่าค่าเงินบาทยังมีโอกาสผันผวนและอ่อนค่าลงจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 รวมถึงโมเมนตัมขาขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ยังมีอยู่จากทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มการทยอยลดคิวอีในปีนี้ของเฟด
ทั้งนี้แนวต้านของค่าเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าผู้ส่งออกส่วนใหญ่ต่างรอคอยที่โซนดังกล่าวเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ ขณะที่แนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นอาจเห็นผู้นำเข้า ทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ได้ หากระ หว่างวันค่าเงินบาทมีการแข็งค่าเข้าใกล้โซนดังกล่าว (Buy on Dip)มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดการเงินโดยรวมยังคงถูกกดดันจากทั้งความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 และล่าสุด แนวโน้มเฟดทยอยลดคิวอีในปีนี้ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุดได้ระบุว่า กรรมการส่วนใหญ่ต่างเห็นชอบให้เริ่มการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่องหรือคิวอีในปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามเป้าหมายของเฟด โดยเฉพาะเป้าหมายด้านเงินเฟ้อที่กรรมการเฟดต่างมองว่าได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว ส่วนเป้าหมายการจ้างงานก็ปรับตัวดีขึ้นใกล้จะถึงระดับที่น่าพอใจ
บรรยากาศการลงทุนที่กลับมาอยู่ในโหมดปิดรับความเสี่ยงของตลาด ส่งผลให้ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงออกมา กดดันให้ ดัชนี Downjones และ ดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลงกว่า -1.1% ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็เผชิญแรงกดดันจากความกังวลเฟดทยอยลดคิวอี ส่งผลให้ ดัชนี Nasdaq ก็ปิดตลาด -0.9%
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลงกว่า -0.17% ตามแรงขายทำกำไร หุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย Louis Vuitton -5.2%, Kerings -3.6%, L’Oreal -1.7% กลุ่มยานยนต์ Daimler -1.2%, Volkswagen -1.1%, BMW -0.7%
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นถึงระดับ 1.29% ในช่วงเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมล่าสุด แต่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด จากความกังวลเฟดทยอยลดคิวอีในปีนี้
รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลัง COVID-19 ยังคงระบาดหนักในหลายพื้นที่ ยังคงกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงใกล้ระดับ 1.26% ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจจะรอช่วงปลายเดือนสิงหาคม ที่เฟดจะมีงานสัมมนาวิชาการ Jackson Hole symposium เพื่อจับตาสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดการทำคิวอีในงานสัมมนาดังกล่าว ทำให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบต่อในระยะสั้น ก่อนจะถึงช่วงงานสัมมนาดังกล่าว และอาจมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น หากเฟดมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดคิวอี
ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงหนุนจากความต้องการหลุมหลบภัยความผันผวนในตลาด (Safe Haven asset) ส่งผลให้เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) เดินหน้าปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 93.22 จุด กดดันให้ สกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.17 ดอลลาร์ต่อยูโร ซึ่งมองว่าเงินยูโรที่ระดับดังกล่าว เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากปัญหาการระบาดของเดลต้าในยุโรปไม่ได้มีความน่ากังวลมากนัก และเศรษฐกิจก็พร้อมจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
สำหรับวันนี้ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก โดยในฝั่งประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่าง สหรัฐฯ และ จีน เนื่อง จากสถานการณ์การระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจกดดันให้ตลาดเข้าสู่สภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มสถานะถือครองเงินดอลลาร์เพื่อหลบความผันผวนชั่วคราวได้
นอกเหนือจากประเด็นสถานการณ์การระบาดของเดลต้าทั่วโลก ในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะจับตาสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.8 แสนราย สอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ระบุว่า การจ้างงานมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนใกล้ถึงระดับที่เฟดพอใจ ซึ่งเรามองว่า ตลาดจะติดตามการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่จะสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดแรงงานเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจปรับลดคิวอีของเฟด