TNN online กูรูคาดกนง.คงดอกเบี้ย 0.5% พยุงเศรษฐกิจ

TNN ONLINE

Wealth

กูรูคาดกนง.คงดอกเบี้ย 0.5% พยุงเศรษฐกิจ

กูรูคาดกนง.คงดอกเบี้ย 0.5% พยุงเศรษฐกิจ

กูรูคาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ 0.5% ในการประชุมพรุ่งนี้ หวังพยุงเศรษฐกิจ จับตาทบทวนจีดีพีหากฉีดวัคซีน-เปิดเมืองเร็วตามเป้าหมายที่วางไว้ ชี้เงินบาทอ่อนส่งออกไม่ได้รับผลบวก เหตุติดขัดปัญหาเชิงโครงสร้าง

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 23 มิ.ย.นี้ คาดว่า  คงอัตราดอกเบี้ยนนโยบายที่ 0.50% และมุมมองเศรษฐกิจไทยจากการประชุมครั้งนี้ของ กนง.จะเป็นบวกกับการลงทุนในประเทศมากขึ้น 


ส่วนการลงทุนต่างประเทศยังน่าสนใจสำหรับระยะยาว แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่พ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงครั้งสุดท้ายของธปท. ในอนาคตจึงอาจมีเซอร์ไพรส์ในเชิงบวก ถ้าสามารถฉีดวัคซีนหรือเปิดเมืองได้เร็วตามเป้าหมาย

 

ทั้งนี้คาด SET Index จะประคองตัวในกรอบ 1,540-1,640 ได้ในไตรมาสนี้ และเชื่อว่าถ้าเริ่มเห็นการเดินทางระหว่างประเทศในช่วงสิ้นปีจะขยับขึ้นไปซื้อขายในกรอบ 1,600-1,680 ได้ในไตรมาสที่สี่

 

สำหรับภาพรวมค่าเงินบาท การที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณเข้มงวด ขณะที่กนง.ยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจจะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ ในระยะสั้นไม่ได้เป็นบวกกับเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วงนี้การส่งออกสินค้าติดขัดในเชิงโครงสร้าง ส่วนการท่องเที่ยวที่ยังไม่พร้อม ในระยะกลางเมื่อเงินบาทอ่อนก็จะเห็นนักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ในประเทศต่อไป คาดว่าทั้งปีจะเห็นเงินทุนไหลออกจากหุ้นไทยรวมราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากปัจจุบันที่มีเงินทุนไหลเข้าแล้วราว 2,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)


ด้านตลาดบอนด์แม้ช่วงนี้จะมีเงินทุนไหลเข้าเนื่องจากยีลด์สหรัฐไม่สูงอย่างที่คาด แต่เชื่อว่าจะเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายบอนด์อีกครั้ง มองทั้งปีคาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าในบอนด์ลดลงเหลือเพียง 500-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากปัจจุบันที่มีเงินทุนไหลเข้าแล้วราว 2,415 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

 

ส่วนในมุมการลงทุนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและเงินบาทที่อ่อนสนับสนุนการลงทุนต่างประเทศ ในเอเชียมองว่าเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นสามประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจดีที่สุดจึงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนในเอเชีย เป้าหมายรองลงมาคือจีน อินเดีย และมาเลเซีย ขณะที่หุ้นฮ่องกงและฟิลิปปินส์น่าสนใจน้อยที่สุด

ข่าวแนะนำ