TNN online คลัง คงคาดการณ์จีดีพีปี65 โต 3.5% อานิสงส์นทท.เข้าไทย-การบริโภคพุ่ง

TNN ONLINE

Wealth

คลัง คงคาดการณ์จีดีพีปี65 โต 3.5% อานิสงส์นทท.เข้าไทย-การบริโภคพุ่ง

คลัง คงคาดการณ์จีดีพีปี65 โต 3.5% อานิสงส์นทท.เข้าไทย-การบริโภคพุ่ง

คลังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี65 ขยายตัวได้ 3.5% คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยพุ่ง 8 ล้านคน หนุนบริโภคในประเทศ ส่งออกโต พร้อมจับตาปัจจัยเสี่ยงต่อเนื่อง

วันนี้(26 ก.ค.65) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.5%  ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน เป็นการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาเพียง 6.7 ล้านคน เนื่องจากปัจจุบันมีการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และยกเลิกระบบ Thailand Pass จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.65 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 2.08 ล้านคน และหลังจากมีการยกเลิกระบบ Thailand Pass ตั้งแต่วันที่ 1-16 ก.ค.65 มีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 5.5 แสนคน เมื่อเทียบกับทั้งปี 2564 ที่มีเพียง 4 แสนคน ดังนั้นจึงคาดว่าในปีนี้รายได้จากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจะสูงถึง 0.43 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 53,000 บาทต่อคน 


ดังนั้นจึงช่วยจึงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศด้วย ให้ขยายตัวได้ 4.8%  ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวที่ 7.7%


อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ 1) ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ

2) ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังอัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นต่อเนื่องและภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสำหรับประเทศไทยนั้น จะต้องรอติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ส.ค.นี้

3) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต 

และ 4) เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศหลักและประเทศจีน ประกอบกับหากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศจีนยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) และส่งผลเชื่อมโยงไปยังภาคการผลิตและการค้าทั่วโลก


ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 6.5% ตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่สูงขึ้นและกระจายตัวในหมวดสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังมีการติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วน


ข้อมูลจาก: กระทรวงการคลัง 

ภาพจาก: พีอาร์ซิตี้แบงก์

ข่าวแนะนำ