TNN online เปิดโพย 18 หุ้นเด่นฝ่าวงล้อมเศรษฐกิจถดถอย

TNN ONLINE

Wealth

เปิดโพย 18 หุ้นเด่นฝ่าวงล้อมเศรษฐกิจถดถอย

เปิดโพย 18 หุ้นเด่นฝ่าวงล้อมเศรษฐกิจถดถอย

บล.กสิกรไทยเผยผลทดสอบภาวะวิกฤติ ต่อ mild recession ท่ามกลางเงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยขยับ-สงครามยืดเยื้อ กระทบดาวน์ไซด์ -10.8% ต่อกำไรสุทธิของตลาดที่ 9.12 แสนล้านบาท เคาะ 18 หุ้นเด่นรับผลกระทบจำกัด

บล.กสิกรไทยได้คงเป้า SET Index ปี 2565 ไว้ที่ 1,650 จุด โดยมี มุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นไทยจาก upside ที่จำกัด    EPS ปี 2566 ที่ 107.09 บาท และ EYG ที่ 3.47% (หรือ -0.875SD) เราปรับเพิ่มประมาณการ EPS ปี 2566 ขึ้น 1.1% MoM 


ทั้งนี้ทาง KBANK คาดว่าอัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะเวลา 10 ปี จะอยู่ที่ 3.10% เพิ่มขึ้นจาก 2.90% ในช่วงสิ้นปี 2565 ปัจจัยหนุนหลักในช่วงครึ่งหลังปีนี้คือจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าที่มากขึ้น อัตราดอกเบี้ยของไทยที่อยู่ระดับต่ำ เงินบาทที่อ่อนค่า ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกที่กำลังผ่านจุดสูงสุดและพัฒ นาการเชิงบวกในประเทศจีน


ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงหลักในช่วงครึ่งหลังปีนี้คือสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ นโยบายการเงินของ Fed ที่ตึงตัว การเลื่อนเปิดประเทศของจีนออกไปและนโย บายโควิด-19 เป็นศูนย์ของจีน และความกลัวที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566


ทั้งนี้ได้ทำ stress test ต่อสมมติฐานที่จะเกิดภาวะ mild recession ในปี 2566 โดยกำหนดให้ GDP ทั่วโลกจะลดลงมาอยู่ที่ 1.5% จาก 3.0% ซึ่งคาดจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตของ GDP ไทย (ลดลง  2.2% จาก 4.3%) ในปี 2566 การส่งออกสินค้าและบริการคาดจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุปสงค์ทั่วโลกที่ชะลอตัว เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง (ลดลงมาอยู่ที่ 2.3% จาก 2.8%) 


ทั้งนี้หากเกิดภาวะ mild recession และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1% เทียบกับสมมติฐานหลักของเราที่ 1.5% ในปี 2566 เราคาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 35.8 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบกับสมมติฐานพื้นฐานของเราที่ 33.8 บาท/ดอลลาร์ฯ ในปี 2566 จากการส่งออก

และจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าที่น้อยลง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ระดับต่ำ 

 

อย่างไรก็ดี คาดราคาน้ำมันจะยังอยู่ระดับสูงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ผลการทำ stress test คาดว่าจะเห็น downside ที่ -10.8% ต่อกำไรสุทธิของตลาดปี 2566 ที่ 9.12 แสนลบ. และ downside ที่ -8.2% ต่อเป้าหมาย bottom-up ของ SET index ที่ 1,833 จุด เหลือ 1,682 จุด หากเกิดภาวะ mild recession ในปี 2566 


เราคาดว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัด (น้อยกว่า -10% ต่อกำไรสุทธิปี 2566) จากสมมติฐานเกิดภาวะ mild recession ในปี 2566 และเป็นกลุ่มที่มีความ defensive ในมุมมองของเราคือกลุ่ม REITs สาธารณูปโภค ICT พาณิชย์ เกษตรและอาหารและการแพทย์

 

หุ้นเด่นรายเดือนมี 6 ธีมลงทุน ประกอบด้วย

📌กลุ่มที่มีอัตราตอบแทนเงินปันผลสูง   (คาดหุ้นปันผลจะเคลื่อนไหวดีในช่วงที่ตลาดอ่อนตัวลง )

KKP   ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  87.00  บาท

KTB   ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  15.50  บาท

DTAC ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  58.43  บาท



📌กลุ่มที่มี hedging ต่อภาวะอาหารขาดแคลนทั่วโลก (ไทยจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์การส่งออกอาหารที่สูงขึ้นจากวิกฤติอาหารทั่วโลก)


CPF         ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 30.50  บาท

ASIAN    ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 19.80  บาท

 RBF       ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 20.95 บาท

 

📌กลุ่ม defensive plays ( มีแรงเสียดทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพราะเป็นกลุ่มสวนทางวัฎจักร)

BGRIM    ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 61.50  บาท

GULF        ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 48.00  บาท

CKP        ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  6.00 บาท

CBG        ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  124.00 บาท


📌กลุ่มเติบโตสูง 

IIG       ซื้อ  ราคาเป้าหมาย 48.91  บาท

คาดว่าการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2565-67 จะมี CAGR ที่ 31% หนุนจากทั้งบริการ CRM และ ERP  


📌กลุ่มเปิดประเทศ 

MTC        ซื้อ  ราคาเป้าหมาย     61.00  บาท

BEM        ซื้อ  ราคาเป้าหมาย     10.20  บาท

ANAN      ซื้อ  ราคาเป้าหมาย       1.48  บาท

BH          ซื้อ  ราคาเป้าหมาย    181.00  บาท

CENTEL  ซื้อ  ราคาเป้าหมาย      46.59  บาท


การเปิดเศรษฐกิจ การกลับไปเรียนออนไซต์/ทำงานที่ออฟฟิศ รายได้ภาคเกษตรและค่าแรงที่สูงขึ้นจะช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศของ MTC จำนวนผู้โดยสารและรถยนต์ใช้ทางด่วนของ BEM ยอดขายของ ANAN จำนวนผู้ป่วยของ BH และอัตราการเข้าพักของ CENTEL 


📌พัฒนาการเชิงบวกในจีน ( การเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะช่วยหนุนค่าระวางเรือของ PSL และราคากระดาษของ SCGP) 

PSL      ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  25.50  บาท

SCGP     ซื้อ  ราคาเป้าหมาย  64.00 บาท 


ที่มา  บล.กสิกรไทย 

ภาพประกอบ  บล.กสิกรไทย 


ข่าวแนะนำ