หุ้นไทยดิ่งแรงสุดในเอเชีย วิตกเงินเฟ้อทะยาน-โควิดพุ่ง
ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 18.97 จุด มากสุดในเอเชีย หลังเงินเฟ้อทะยาน-ผู้ติดเชื้อโควิดพุ่ง มองแนวโน้มพรุ่งนี้ผันผวนต่อ ชู 2 หุ้นหลบภัย
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยถึง ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,541.30 จุด ลบ 18.97 จุด หรือ 1.22 % โดยระหว่างวันดัชนีเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ1,569.96 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,539.32 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 76,714.43 ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยปิดร่วงมากสุดในเอเชีย
โดยหุ้น Domestic Play ปรับตัวลงกันเป็นทิวแถว หลังจากที่เงินเฟ้อเดือนมิ.ย.ทะยาน7.66% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และฝ่ายวิจัยฯคาดว่าในเดือน ส.ค . เงินเฟ้อมีโอกาสทำนิวไฮปรับตัวขึ้นถึง 10% ซึ่งเป็นปัจจัยกดหุ้นค้าปลีกในวันนี้ เช่น CPALL ลง -2.03%CRC ลง -2.14% รวมถึงหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น TIDLOR ลง -4.35% JMT ลง-7.07%
ส่วนหุ้นที่บวกสวนตลาดเป็นกลุ่มที่มีเกราะป้องกันโควิด เช่น BDMS +4 % BCH +5.70%STGT +8.39% หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อโควิดโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 เริ่มระบาดมากขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ติดตามนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะประกาศยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางส่วนจากจีนภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ ถ้าประกาศก็ะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น รวมถึงรายงาน (Fed minute) ว่ามีมุมมองต่อเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร ตลอดจนตัวเลขการจ้างงานอกภาคเกษตร คาดว่าจะอยู่ 2.75 แสนตำแหน่งปรับตัวลงหากเทียบกับเดือนก่อน และตัวเลขการจ้างงานว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ Recession หรือไม่
ทั้งนี้มองแนวโน้มหุ้นไทยพรุ่งนี้ผันผวน เคลื่อนไหวในกรอบ 1,530-1,560 จุดด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มีเกราะป้องกันเงินเฟ้อ และหุ้น outperformลงน้อยกว่าตลาด
แนะนำ TRUE พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำ หลังการควบรวมขั้นตอนนำไปสู่การควบรวมกับ DTAC ดำเนินต่อไป โดยล่าสุดขั้นตอนการขอความยินยอมจากเจ้าหนี้เสร็จสิ้นแล้วเหลือแต่ขั้นตอนการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ กสทช. ซึ่งแม้ว่าจะเลื่อนไปจากกำหนดเดิมที่จะสรุปได้ภายใน ก.ค. 65 นี้ แต่ก็น่าจะมีข้อสรุปได้ในเดือน ส.ค. 65
ทั้งนี้เชื่อว่าการควบรวมกับ DTAC จะส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันให้แข็งแกร่งขึ้น ช่วยลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน และนำไปสู่ฐานะการเงินที่เข้มแข็งขึ้นระยะสั้นมีปัจจัยบวกที่เกี่ยวข้อง คือ 1) การควบรวมของเซลคอม (บริษัทในกลุ่มเอเซียต้า) และดิจิ (บริษัทในเครือเทเลนอร์เช่นเดียวกัน DTAC) 2) ผลประกอบการงวด 2Q65 มีแนวโน้มดีขึ้นทั้ง Q0Q และ YoY เพราะคาดจะบันทึกกำไรพิเศษราว1.2 พันล้านบาท - 1.3 พันล้านบาท จากการขายเงินลงทุน
ใน DIF ออกมาบางส่วน
หุ้นตัวต่อมาคือหุ้นได้ประโยชน์จากบาทอ่อนคือ CPF ธุรกิจหลักจะฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ 2Q65ราคาไก่และหมูในไทยยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในงวด 2Q65สอดคล้อ งกับทิศทางราคาหมูในจีนและเวียดนามที่ฟื้นตัวเช่นกัน ถือเป็นผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q65ของ CPF ให้ฟื้นตัวชัดเจนจากงวด 1Q65 คาดกำโรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัว 19% yoy มาที่ 1.5หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจไก่และสุกรในไทยฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และปัญหาสุกรขาดแคลนหนุนราคาไก่และสุกรในไทยปรับเพิ่มขึ้นราคาหุ้น CPF มี PBV ปี 2565 เพียง 1.0 เท่า ยังLaggard เมื่อเทียบกับ GFPT และ TFG ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จึงยังแนะนำซื้อ CPF รับแนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวในปี 2565
ที่มา บล.เอเซีย พลัส
ภาพประกอบ บล.เอเซีย พลัส