TNN online หุ้นไทยเสี่ยงผันผวน ปัจจัยลบตปท.ถ่วงตลาด ชู Selective Buy ราคาแลกการ์ด

TNN ONLINE

Wealth

หุ้นไทยเสี่ยงผันผวน ปัจจัยลบตปท.ถ่วงตลาด ชู Selective Buy ราคาแลกการ์ด

หุ้นไทยเสี่ยงผันผวน  ปัจจัยลบตปท.ถ่วงตลาด  ชู Selective Buy ราคาแลกการ์ด

โบรกมองหุ้นไทยสัปดาห์หน้าเผชิญความผันผวนจากปัจจัยบวก-ลบต่างประเทศรอบด้านขึ้นกับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน ประเมินกรอบ 1,600-1,655 จุด ชู Selective Buy ราคาแลกการ์ด

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน  โดยมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยปัจจัยบวกมี3 ส่วนคือ 1.การคลายกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย  2.แนวคิดการยกเลิกกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ อาจทำให้หุ้นดีดตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะจากข้อมูลในอดีต กรณีที่สหรัฐฯ  เคยปรับเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าจีนตั้งแต่กลางปี 2018 และมีการเพิ่มรายการสินค้าขึ้นมา 4 รอบ วงเงินรวมประมาณ 3.5 แสนล้านเหรียญ


โดยทุกรอบ SET Index ปรับฐานเฉลี่ยประมาณ -10% ต่อรอบ3.ฟันด์โฟลว์ต่างขาติไหลเข้าหุ้นไทย โดยในเดือนพ.ค.ซื้อสุทธิ 10,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับภูมิภาคขายสุทธิ เนื่องจากหุ้นไทยเด่นเป็นผลมาจากกำไรของบจ.ไตรมาส 1/65แตะ 2.7 แสนล้านบาท และการขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าประเทศพัฒนาแล้ว หนุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย มากกว่าประเทศอื่น 


ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องติดตามคือ 1.ความเสี่ยงตัวเลข CPI ยุโรปที่จะประกาศในวันที่31 พ.ค.นี้ รวมถึงเงินเฟ้อเดือนพ.ค.คาดเติบโต 7.5% YOY   ตลอดจนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร คาดว่าจะอยู่ที่ 325,000 ตำแหน่ง ถ้าสูงกว่าตลาดคาดการณ์กดตลาดหุ้นไทย


2.ปัญหาอาหารโลกขาดแคลนทำให้สินค้าแพงขึ้นเพราะจะทำให้ต้นทุนวัตดุดิบการผลิตสินค้าสูงขึ้นซึ่งต้องรอดูว่าราคาสินค้าจะขยับขึ้นหรือไม่3.การประชุมโอเปก 2 มิ.ย.นี้ คาดว่าคงการผลิตน้ำมันไว้ที่ 432,000 บาร์เรลต่อวันซึ่งหลายประเทศอยากให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากรัสเซีย-ยูเครนทำให้เกิดปัญหาราคาน้ำมันแพง


ทั้งนี้ประเมินหุ้นไทยเคลื่อนไหว 1,600-1,655 จุด เน้น Selective Buy ราคาแลกการ์ดและแนวโน้มกำไรเติบโตนำโดย


STEC  เชื่อแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการที่ภาครัฐเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว 


โดย STEC ยังมี Backlog รอรับรู้รายได้มากกว่า1.2 แสนล้านบาท รองรับรายได้ช่วง 4 ปีข้างหน้าราคาหุ้นปรับตัวลดลง 12% นับจากต้นปี สวนทางกับพื้นฐานของบริษัทที่มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างชัดเจนปัจจุบัน STEC ซื้อขายที่ PBV ต่ำเพียง 1.10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ถึง 67% และมีค่า PER ต่ำเพียง

17.2 เท่า ประเมิน FV อิง Historical PER 24 เท่า ได้18.00 บาท แนะนำซื้อ


ตัวต่อมาคือ BBL นอนรอดอกเบี้ยขาขึ้น แบงค์ใหญ่ชอบกำไรสุทธิ 1Q65 เท่ากับ 7.1 พันล้านบาท (+12.7%QOQ จาก ECL ลด, +2.8% YOY เพราะ PPOP ฟื้นตัว)โดยรวมกำไรสุทธิ 1Q65 คิดเป็นสัดส่วน 25% ของประมาณการทั้งปี จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่2.9 หมื่นล้านบาท เติบโต 9% YOY ทั้งนี้ แนวโน้ม 2Q65กำไรชะลอตัว Q0Q จากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล (แต่บวกYoY จากกำไร 6.4 พันล้านบาทในงวด 2Q64)ยามดอกเบี้ยขาขึ้น ถือเป็นธนาคารที่ได้เปรียบกว่ากลุ่มฯจากโครงสร้างสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง


นอกจากนี้พอร์ตสินเชื่อรายใหญ่สามารถทนทานต่อInflation ได้มากกว่ารายย่อยและ SME ผ่านการส่งผ่านราคาสินค้า   กอปรกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรง ตัว สูงเอื้อต่อการ Recovery ของเศรษฐกิจอินโดฯ บวกต่อธนาคาร Permata


ปิดท้ายที่ TFG  มาเลเซียจะระงับส่งออกไก่ตั้งแต่มิ.ย.65 คิดเป็นราว 9พันตัน/เดือน แม้จะไม่มาก แต่ก็ถือเป็นโอกาสของไทยที่ได้ผลบวกจากการที่ลูกค้าบางส่วนหันมาซื้อไก่จากไทยมากขึ้นแทน เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น ถือเป็นผลบวกต่ออุตสาหกรรมไก่ไทย ที่จะมีตลาดส่งออกไก่เพิ่มขึ้นอย่างGFPT, TFG และ CPF

คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวถึง 240% yoy จากฐานกำไรที่ต่ำมากในปีก่อน และธุรกิจสุกรและไก่ฟื้นตัวชัดเจน


ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิงวด 2Q65 จะเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQและ YOY จากแนวโน้มราคาไก่และสุกรปรับเพิ่มขึ้นกำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 6 บาท ราคาหุ้นปรับฐานลึกนับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนมี PER 14 เท่า แนะนำ ซื้อ



หุ้นไทยเสี่ยงผันผวน  ปัจจัยลบตปท.ถ่วงตลาด  ชู Selective Buy ราคาแลกการ์ด

ที่มา  นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  

ภาพประกอบ บล.เอเซีย พลัส 

ข่าวแนะนำ