โลกคว่ำบาตรรัสเซียดันน้ำมันพุ่ง จับตาโอเปกพลัสคงกำลังการผลิต

ปัจจัยติดตาม

1.โลกคว่ำบาตรรัสเซียดันน้ำมันพุ่ง จับตาโอเปกพลัสคงกำลังการผลิต

การเปลี่ยนแปลงของหลายๆ สินทรัพย์ตอนนี้ ถูกชี้นำจากปัจจัยเดียวกัน นั่นก็คือผลพวงที่ตามมา จากการที่รัสเซียเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน ล่าสุด ทั้งสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ต่างพุ่งขึ้นมายืนเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้งในการซื้อขายเมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งปัจจัยที่หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ก็มาจากความกังวลของนักลงทุน ว่า การที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตก พร้อมใจกันคว่ำบาตรรัสเซีย จะเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกพลังงานไปสู่ตลาดโลก

ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า บริษัท "Nord Stream 2 AG" ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการท่อส่งก๊าซ "Nord Stream 2" ที่สามารถจัดส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังเยอรมนี กำลัง เตรียมยื่นล้มละลาย หลังจากถูกสหรัฐคว่ำบาตรก่อนหน้านี้

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า "Nord Stream 2 AG" ได้ประกาศยุติสัญญาว่าจ้างพนักงาน โดยระบุสาเหตุในแถลงการณ์ว่า "ท่ามกลางเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทำให้สหรัฐคว่ำบาตรต่อ Nord Stream 2 AG ทางบริษัทจำเป็นต้องยุติสัญญาว่าจ้างพนักงาน ซึ่งเรามีความเสียใจต่อการดำเนินการดังกล่าว" ทั้งนี้ Nord Stream 2 AG ถูกสหรัฐประกาศคว่ำบาตรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ยังถูกคว่ำบาตรจากเยอรมนี ซึ่งได้ประกาศระงับการอนุมัติโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2 ซึ่งเป็นการตอบโต้หลังจากที่รัสเซียให้การรับรองเอกราชแก่แคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดอนบาสของยูเครน ก่อนที่จะส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน

2.IEA ระบายน้ำมัน 60 ล้านบาร์เรลจากคลังสำรอง หยุดราคาพุ่ง

และทันทีที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ก็มีมติด่วนออกมา ให้ประเทศสมาชิก ระบายน้ำมันจำนวน 60 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรองเพื่อสกัดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในตลาด

โดยสำนักงานพลังงานสากล ได้จัดการประชุมฉุกเฉินเมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงแนวทางในการสกัดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางวิกฤตการณ์ในยูเครน หลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน จนนำไปสู่การคว่ำบาตรทางการเงินจากนานาชาติ

โดยหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น สำนักงานพลังงานสากล ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 30 ประเทศ มีมติให้ประเทศสมาชิก ระบายน้ำมันจำนวน 60 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรอง โดยหนึ่งในประเทศสมาชิกอย่างสหรัฐฯ จะระบายน้ำมันราว 30 ล้านบาร์เรลจากจำนวนทั้งหมด 60 ล้านบาร์เรล

ทั้งนี้ นอกเหนือจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จะเป็นแรงหนุนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแล้ว รายงานข่าวที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีแนวโน้มที่จะยึดมั่นในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนเมษายนในการประชุมกันในวันนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง

โดยตามรายงานข่าวระบุว่า การที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันในข้อตกลงของโอเปกพลัสแต่อย่างใด

ปัจจัยติดตาม

3.ชาวรัสเซียแห่ซื้อบิตคอยน์ ผลพวงถูกคว่ำบาตรระบบการเงิน

"บิตคอยน์" ก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวโดยถูกชี้นำจากผลกระทบที่รัสเซีย เผชิญมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน ล่าสุด ราคา "บิตคอยน์" ค่อยๆ ฟื้นกลับขึ้นมา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็มองว่า แรงส่งสำคัญ มาจากการที่ชาวรัสเซียเข้าซื้อเพิ่มขึ้นนั่นเอง

หนึ่งในนักลงทุนชื่อดังของโลกอย่างนายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนตลาดเกิดใหม่ และผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตอล พาร์ทเนอร์ส ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีวานนี้ ว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิตคอยน์ในช่วงนี้ อาจเป็นผลมาจากการที่ชาวรัสเซียแห่ซื้อบิตคอยน์ โดยตัวเขาย้ำว่า "เหตุผลที่ราคาบิตคอยน์ทำผลงานแข็งแกร่งในช่วงนี้ เป็นผลมาจากการที่ชาวรัสเซียเปลี่ยนสินทรัพย์ชนิดอื่นให้เป็นบิตคอยน์นั่นเอง"

ซึ่งมุมมองของ "โมเบียส" ก็สอดคล้องกับข้อมูลที่เปิดเผยโดย "ไคโก" (Kaiko) ซึ่งเป็นบริษัทข้อมูลคริปโทฯ ที่ระบุว่า นับตั้งแต่รัสเซียเปิดปฏิบัติการโจมตียูเครนในวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การทำธุรกรรมในตลาดซื้อขายบิตคอยน์ทั้งในสกุลเงินรูเบิลและฮริฟเนียยูเครน ก็พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน

ทั้งนี้ ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากถูกเทขายไปในช่วงที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังสถาบันการเงิน รวมถึงธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง แม้กระทั่งธนาคารกลางของรัสเซียเอง เผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ เพื่อตอบโต้กรณีรัสเซียรุกรานยูเครน