จีนอยากให้ใครชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
การเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐฯ แต่ละครั้ง เป็นสิ่งที่แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์จีน “ตื่นตัว” และ “กังวลใจ” มาตลอด และทุกครั้ง รัฐบาลจีนมัก “เชียร์” ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ล่ะ จีนมีใครในดวงใจ
การเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐฯ แต่ละครั้ง เป็นสิ่งที่แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์จีน “ตื่นตัว” และ “กังวลใจ” มาตลอด และทุกครั้ง รัฐบาลจีนมัก “เชียร์” ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ล่ะ จีนมีใครในดวงใจ
การเลือกตั้งสหรัฐฯ ถือเป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นานาประเทศล้วนจับตาผลการเลือกตั้ง ที่จะเปลี่ยนทิศทางโลกได้ จึงไม่แปลกที่นักการเมืองจีนจะจับตาการเลือกตั้งของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
สื่อจีนนำเสนอศึกชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้จำกัด เพราะภาครัฐควบคุมเนื้อหาสื่อด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แต่ความจริงคือ พรรคคอมมิวนิสต์ไม่อยากให้ประชากรจีน 1 พัน 4 ร้อยล้านคนของตนเอง มีอารมณ์ร่วมไปกับ “เสรีภาพ” ในการเลือกผู้นำของตนเองมากนัก เพราะภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ชาวจีนแทบไม่มีสิทธิกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศได้เอง
แต่ปีนี้ ปัจจัยมากมายได้เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่นับรวม “ความแตกแยกลึก” จาก 4 ปีใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ดังนั้น รัฐบาลจีนจับตาการเลือกตั้งของคู่แข่งทางอำนาจโลก ด้วยสายตาที่ “เปลี่ยนไป” และด้วยจุดยืนที่ “เหนือกว่า” เพราะในขณะที่สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายมากขึ้นทุกวัน เศรษฐกิจซบเซา แต่จีนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ
“ความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่จีนได้รับจากการต่อสู้กับโควิด-19 ได้แสดงให้เห็นถึงข้อดีของภาวะผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปราศรัยเมื่อเดือนที่แล้ว ในกิจกรรมเชิดชูบุคลากรทางการแพทย์ในฐานะ “วีรบุรุษกู้ชาติ”
หากมองในปัจจัยเรื่องโควิด-19 จีนคงไม่ต้องสนว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีใหม่ หรือทรัมป์ได้ไปต่อ เพราะจีนชนะศึกโรคระบาดเป็นที่เรียบร้อย
แต่หากมองในด้านเศรษฐกิจล่ะ? จอห์น ซุดโวธ ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำกรุงปักกิ่งของจีน ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการจีน ซึ่งส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากให้ทรัมป์ชนะ ถ้าเป็นไบเดน อาจจะดีกว่า
นั่นเป็นเพราะ รัฐบาลทรัมป์ดำเนินนโยบายกดดันทางเศรษฐกิจจีนมาโดยตลอด ทั้งตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน รวมมูลค่ากว่า 3 แสน 6 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงหนึ่ง ไม่นับรวมมาตรการคว่ำบาตรรทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุผลว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่ฟันธงไม่ได้ว่าจีนอยากให้ทรัมป์แพ้ ศาสตราจารย์หยาง ซู่ถง อธิบดีสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่งชี้ว่า “หากมองถึงผลประโยชน์ของชาติ จีนอยากให้ทรัมป์ชนะ ไม่ใช่ไบเดน”
“นั่นเพราะทรัมป์จะทำลายสหรัฐฯ มากกว่าไบเดน ไม่ใช่ว่า ทรัมป์บั่นทอนผลประโยชน์ของจีน” หรือพูดง่ายๆ จุดยืนของจีนในเวทีโลกจะมีภาษีดีขึ้น หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี และ “ทำลาย” สหรัฐฯ เอง จากภายใน โดยที่จีนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ ที่นำสหรัฐฯ ถอยห่างจากความร่วมมือระดับสากล ทั้งความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก ข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก เปิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่จีนได้โอกาสทอง เข้ามาเติมเต็ม เรียกว่า จุดไหนทรัมป์ถอย สี จิ้นผิง ก็พร้อมเข้ามาอุดรอยรั่ว
“ประชาชนในทุกประเทศทั่วโลก ล้วนเชื่อมโยงกัน มีอนาคตร่วมกัน ไม่มีประเทศใดได้ประโยชน์จากความลำบากของผู้อื่น หรือบรรลุความมั่นคงบนปัญหาของคนอื่น การดูดายไม่ยอมช่วยเหลือประเทศที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ท้ายสุด ประเทศนั้นก็จะเผชิญวิกฤตแบบเดียวกัน” สี จิ้นผิง กล่าวผ่านวิดีโอในเวทีเสวนาหนึ่ง ของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 75
หู สีจิ้น บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทมส์ของจีน มองว่า “ยิ่งทรัมป์ทำให้อเมริกาแปลกแยก และเป็นที่จงเกลียดจงชังของโลก…ทรัมป์ก็ช่วยโปรโมตเอกภาพของจีนมากเท่านั้น”
สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ได้ประโยชน์จาก “ความล้มเหลวทางประชาธิปไตย” ของสหรัฐฯ การที่ทรัมป์เองสร้างข่าวปลอม โจมตีหรือบั่นทอนเสรีภาพสื่อเอง แทบทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนผิวปากเป็นเพลงได้เลยทีเดียว
อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทรัมป์ จอห์น โบลตัน เปิดเผยว่า ทรัมป์เคยเห็นด้วยกับการกวาดล้างชาวมุสลิมอุยกูร์ของสี จิ้นผิง แม้ทรัมป์จะปฏิเสธก็ตาม ทรัมป์เองยังดูแคลนไบเดน ที่เคยหนุนการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว จีนอาจจะเกรงกลัวโจ ไบเดนมากกว่าทรัมป์ก็ได้ ในแง่ของอุดมคติประชาธิปไตย เพราะไบเดนจะเป็นสะพานสานสัมพันธ์กับพันธมิตรประชาธิปไตย ที่ท้ายสุด จะร่วมกันกดดันจีน ตรงกันข้ามกับทรัมป์ ที่สะบั้นสายสัมพันธ์กับพันธมิตรเหล่านี้
ไบเดนเอง เชื่อว่า จะกดดันจีนในด้านสิทธิมนุษยชนมากกว่าสมัยทรัมป์ แม้จะผ่อนคลายกำแพงภาษีลง รวมถึงอาจร่วมมือกับจีนในการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ผลประโยชน์เหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่จีนต้องการ
ท้ายสุด สิ่งที่รัฐบาลจีนอาจจะหวาดกลัวมากที่สุด คือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะนำพาประเทศกลับสู่ครรลองแห่งคุณค่าประชาธิปไตยสากล ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง และ “แสงสว่างของความถูกต้อง” ที่จะยิ่มข่มเน้น “ความอยุติธรรมด้านมนุษยธรรม” ที่จีนกระทำกับประชาชนของตนเอง
แต่หากนำปัจจัยด้านอารมณ์ อุดมคติทางการเมือง และอคติต่อบุคคลออกไป เราอาจพูดได้ว่า ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย. นี้ จีนมีแต่ได้กับได้ ไม่ทางภาพลักษณ์ในสายตาโลก ก็ผลประโยชน์ทางการค้า
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/election-us-2020-54522988
https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/why-beijing-may-want-to-keep-trump-in-the-white-house