TNN online ท้องผูกต้องรู้! หมอธีระวัฒน์ เปิดข้อมูลใช้ "ยาถ่ายบ่อย" เสี่ยงสมองเสื่อม

TNN ONLINE

Health

ท้องผูกต้องรู้! หมอธีระวัฒน์ เปิดข้อมูลใช้ "ยาถ่ายบ่อย" เสี่ยงสมองเสื่อม

ท้องผูกต้องรู้! หมอธีระวัฒน์ เปิดข้อมูลใช้ ยาถ่ายบ่อย เสี่ยงสมองเสื่อม

หมอธีระวัฒน์ เผยข้อมูลกิน "ยาถ่าย ยาระบายใช้บ่อยและนาน เสี่ยงสมองเสื่อม" พร้อมแนะควรกินวันอะไรให้ถ่ายง่ายท้องไม่ผูก

หมอธีระวัฒน์ เผยข้อมูลกิน "ยาถ่าย ยาระบายใช้บ่อยและนาน เสี่ยงสมองเสื่อม"  พร้อมแนะควรกินวันอะไรให้ถ่ายง่ายท้องไม่ผูก


ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอธีระวัฒน์” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ  "ใช้บ่อย ยาถ่าย ยาระบาย เสี่ยง สมองเสื่อม"

โดยระบุข้อความว่า การใช้ยาระบายชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกันเพิ่มความเสี่ยงสมองเสื่อม รายงานนี้ ตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยา (Neurology) ซึ่งเป็นวารสารทางการของสมาคมประสาทของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023

ทั้งนี้ เป็นการใช้ข้อมูลนำมาวิเคราะห์ที่ได้จากประชากรมากกว่า 500,000 คน ที่อยู่ในวัยกลางคนจนกระทั่งถึงสูงวัยที่รวบรวมในคลังชีวข้อมูล (Biobank) ของ UK ประเทศอังกฤษ จากคณะทำงานในประเทศจีน

ผู้ที่ใช้ยาระบายประเภทที่เรียกว่า osmotic laxatives เป็นประจำ มีความเสี่ยงสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ใช้ถึง 64% และคนที่ใช้ยาระบายหนึ่งประเภทหรือมากกว่า ที่เป็นทั้งแบบ bulk-forming แบบ stool softening และ stimulant laxatives มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 90%


ยาระบายมีหลายประเภทด้วยกัน ได้แก่
-ยาระบายชนิดที่ดึงน้ำเข้ามาในลำไส้และทำให้อุจจาระเหลวนุ่มขึ้น และถ่ายง่ายขึ้น (oxidative laxatives) อาทิ lactulose polyethylene glycol sorbitol magnesium citrate sodium acid phosphate
-ยาระบายชนิดที่ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มปริมาณขนาดอุจจาระ (Bulk forming laxatives) เช่นยา mucillin metamucil
-ยาระบายชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้น (stool softening หรือ emollient) ช่วยให้น้ำและของเหลวผสมเข้ากับอุจจาระไม่ให้แข็ง เช่น ยา colace docusate sodium arachis oil
-ยาระบายชนิดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ (stimulant laxatives) เช่น bisacodyl ยา dulcolax senna ยา senokot sodium picosulfate กระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อเพิ่มการบีบตัวของลำไส้


ลักษณะการที่มีท้องผูกในระดับต่างๆ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยและสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น และเป็นไปได้ที่การใช้ยาระบายประเภทต่างๆจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในลำไส้ โดยผ่านกลไกที่ส่งผ่านจากเส้นประสาทของลำไส้ขึ้นไปที่สมอง และจากการที่เสริมให้มีการสร้างสารพิษ (toxins) ที่ก่อให้เกิดการอักเสบผนังลำไส้รั่วและลุกลามไปทั่วร่างกายและกระทบการทำงานของสมอง


ประชากรที่อยู่ในกลุ่มศึกษาที่รายงานนี้มีจำนวน 502,229 คนโดยที่ 54% เป็นสตรีและทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 57 ปี ตอนที่เริ่มการศึกษา โดยทั้งหมดไม่มีอาการของสมองเสื่อมเลยตั้งแต่ต้น

คนที่อยู่ในการศึกษา มี 18,335 คน คิดเป็นจำนวน 3.6% ที่มีการใช้ยาระบายที่หาซื้อได้ทั่วไป (OTC over the counter) โดยมีการใช้สม่ำเสมอหลายวันในสัปดาห์ ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่จะเริ่มการศึกษา

ระยะการติดตามทั้งหมดโดยเฉลี่ยแล้ว คือ 9.8 ปีโดยที่พบว่ามี 218 ราย หรือ 1.3% ที่ใช้ยาระบายอย่างสม่ำเสมอเป็นสมองเสื่อม ในขณะที่คู่เทียบ จำนวน 1,969 ราย หรือ 0.4% ที่ไม่ได้ใช้ยาระบายเลยเป็นสมองเสื่อม

เมื่อทำการปรับค่าหรือปัจจัยต่างๆที่รวมทั้งอายุ เพศ ระดับการศึกษา ภาวะการเจ็บป่วย และยาอื่นๆที่ใช้ รวมกระทั่งถึงประวัติครอบครัวที่มีสมองเสื่อมหรือไม่ พบว่า การใช้ยาระบายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มความเสี่ยงของสมองเสื่อมทุกชนิด (all cause dementia) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (adjusted hazard ratio [aHR], 1.51; 95% CI 1.30-1.75) และความเสี่ยงของสมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยตันทั่วไปหรือ vascular dementia (aHR, 1.65; 95% CI, 1.21-2.27) โดยที่ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดสมองเสื่อมแบบ อัลไซเมอร์ ( aHR, 1.05; 95% CI, 0.79-1.40) ความเสี่ยงของสมองเสื่อมยังขึ้นอยู่กับประเภทหรือชนิดของยาระบาย


สำหรับผู้ที่ใช้ชนิด oxidative laxatives อย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงของสมองเสื่อมทุกชนิด โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ ( aHR, 1.64; 95% CI, 1.20-2.24) และความเสี่ยงของสมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดตัน ( aHR, 1.97; 95% CI 1.04-3.75)

อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ขนาดของยาระบายที่ใช้ในประชากรที่อยู่ในการศึกษานี้ว่า จะมีผลทำให้เกิดสมองเสื่อมอย่างไรหรือไม่

ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่น่าตกใจ และสนับสนุนการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างสุขภาพของลำไส้ที่เกี่ยวเนื่องกับจุลินทรีย์ และแบคทีเรียตัวดีและตัวร้ายที่กำหนดระบบภูมิคุ้มกันต่อเนื่องไปยังเส้นประสาทและไปกระทบสมอง
แต่ในขณะเดียวกัน ยังไม่สามารถที่จะสรุปหรือพิสูจน์ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลของการใช้ยาระบายกับการเกิดสมองเสื่อมชนิดต่างๆที่กล่าวมา แต่ควรต้องมีการศึกษาในขั้นลึกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในระดับของสัตว์ทดลองและในมนุษย์

เป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้ยาระบายชนิดและประเภทต่างๆนี้ กลับไม่พบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มของสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ โดยที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของข้อมูลหรือข้อจำกัดของการระบุชนิดของสมองเสื่อมหรืออาจจะเป็นความจริงที่ไม่เกี่ยวโยงกัน


กล่าวโดยสรุปแล้ว เรื่องท้องผูกหรือ “ธาตุแข็ง” ที่คนโบราณพูด โดยย้ำกับลูกหลานว่า ถ้าไม่ถ่ายจะมีพิษสะสมลามเข้าไปทั่วตัวน่าจะเป็นเรื่องจริง

และวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การกินผัก ผลไม้ กากใย ให้มาก เป็นประจำสม่ำเสมอวันละหลายมื้อก็ได้ ซึ่งผักผลไม้กากใยปฏิบัติตัวเป็นยาระบายที่วิเศษ แต่มีข้อแม้ว่าต้องดื่มน้ำเยอะด้วยจึงจะได้ผล และแน่นอนว่าต้องปลอดสารเคมีให้ได้มากที่สุด

การที่มีท้องผูกนี้ เป็นที่สังเกตมาตั้งแต่สมัย หลาย 100 ปีแล้วที่ คุณหมอเจมส์ พาร์กินสัน ได้สังเกตว่าคนไข้ที่ต่อมาเกิดโรคพาร์กินสันนั้น มีท้องผูกนำมาก่อนและในคนที่เกิดเป็นโรคแล้ว เมื่ออาการท้องผูกดีขึ้นโรคหรืออาการพาร์กินสันนั้นก็ดีขึ้นด้วย ทั้งหมดตอกย้ำถึงการดูแลร่างกาย อาหาร การกิน การออกกำลัง ซึ่งถ้าทำได้จะส่งผลดี จากหัวจดเท้า


ขณะที่เว็บไซต์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เผย สาเหตุที่มาของอาการท้องผูก โดยทั่วไปคือ

1.การขาดปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับการถ่ายอุจาระ นั่นคือ อาหารที่มีใยอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้ รวมทั้งน้ำสะอาดที่ดื่มน้อยกว่าปกติในวันหนึ่ง ๆ
2.มีโรคของระบบทางเดินอาหารรบกวนอยู่ เช่น ถุงโป่งพองในลำไส้ การเป็นไส้เลื่อน เนื้องอก การอักเสบของเนื้อเยื่อภายในลำไส้ใหญ่ การมีรอยรั่วระหว่างผนังเนื้อเยื่อในลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
3.ความผิดปกติของต่อมธัยรอยด์ที่ทำงานน้อยกว่าปกติ
4.ความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในบางภาวะ ตัวอย่างเช่น เบาหวาน ไตวาย-เรื้อรัง ภาวะโพแทสเซียมต่ำ ภาวะตะกั่วเป็นพิษ
5.ยาบางประเภทที่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องผูก เช่น ยาเคลือบกระเพาะอาหาร ยาขับปัสสาวะ ยาชา ยากันชัก ยาแก้เศร้าซึม
6.สาเหตุจากระบบประสาทและจิต โรคทางระบบประสาทส่งผลให้การขับถ่ายผิดปกติได้ เช่น ภาวะเก็บกด ไขสันหลังได้รับความกระทบกระเทือน โรคพาร์กินสัน เนื้องอกในสมอง
7.อุปนิสัย สิ่งแวดล้อม และความเคยชินในการทำกิจวัตรประจำวัน


การแก้ไขอาการท้องผูก
1.วิธีแก้ไขท้องผูกที่ดีที่สุด คือการประพฤติตนให้ดี พยายามถ่ายให้ได้ทุกเช้า หรือทุกครั้งเมื่อรู้สึกอยากถ่าย อย่าผลัดกับตัวเองเพราะจะติดเป็นนิสัย
2.มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 10-15 นาที โดยเฉพาะการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหูรูด
3.อาหารและน้ำ นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาท้องผูก เรื่องของผักและผลไม้ นับเป็นแหล่งที่ดีของใยอาหาร ซึ่งหาไม่ได้ในเนื้อสัตว์และไขมัน ในร่างกายไม่มีน้ำย่อยที่จะย่อยใยอาหาร ใยอาหารจึงผ่านลงสู่ลำไส้ลำไส้ใหญ่ และถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยสลาย เป็นผลทางอ้อมให้อุจจาระอุ้มน้ำไว้ได้มากขึ้น พร้อมกับเพิ่มปริมาณของอุจจาระด้วย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการบีบตัวของทวารหนัก เร่งการขับถ่ายอุจจาระออกมา
4.ถ้าเด็กเล็กมีอาการท้องผูกไม่ยอมถ่าย แม้จะออกแรงเบ่งจนหน้าเขียวหน้าดำแล้วก็ตาม คุณแม่ไม่ควรใช้ลูกยางสวนทวาร หรือปรอทวัดไข้ชนิดแบบที่สวนทวารได้ ไม่ควรนำมาใช้กับเด็ก แต่ให้นำเด็กไปปรึกษาแพทย์ เพราะท้องผูกนั้นมีหลายสาเหตุและบ่อยครั้งที่เกิดจากสภาพจิตใจ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนปัญหาทางกาย



ข่าวแนะนำ