ถอดรหัสการแยกขั้วระหว่างสหรัฐฯและจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
ถอดรหัสการแยกขั้วระหว่างสหรัฐฯ และจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
ถอดรหัสการแยกขั้วระหว่างสหรัฐฯ และจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
ผมเกริ่นในบทความ “เมื่อมังกรปรับจูนสู่โรงงานยุคใหม่” เกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศน์ด้านการผลิตล้ำสมัยของจีน และโยงมาถึงการสัมมนาเรื่อง “การแยกขั้ว” ในส่วนที่เกี่ยวกับไทย ก็มีหลายคำถามเด็ดที่น่าจะหยิบมาขยายผลด้วยเช่นกัน เราไปถอดรหัสกันเลยครับ ...
ต่อคำถามที่ว่าจีนมีมุมมองต่อไทยและอาเซียนอย่างไร? ผมยืนยันว่า จีนมองไทยและประเทศในอาเซียนในเชิงบวก หลายครั้งที่เราเห็นความพยายามในการรักษา “ความเป็นปึกแผ่น” ของอาเซียนเอาไว้ ซึ่งอาจแตกต่างจากขั้วอำนาจอื่นที่มักต้องการ “แบ่งแยกและปกครอง”
จีนมีสุภาษิตหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “คฤหาสน์ของเศรษฐีย่อมไม่สง่างาม หากรายล้อมไปด้วยสลัม” ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจีนจะพัฒนาไปมากเพียงใด แต่ก็เปล่าประโยชน์หากประเทศเพื่อนบ้านยังติดกับดักแห่งความยากจน เพราะว่าจีนตระหนักดีว่า การก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วท่ามกลางประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ที่รายรอบ ย่อมไม่เป็นผลดี และในที่สุด จีนก็ไม่อาจจะปฏิเสธการทะลักไหลของปัญหาเหล่านั้นหรือได้รับประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านได้เท่าที่ควร
ในความเป็นจริง อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงหลายปีหลังนี้ ภูมิภาคอาเซียนแบ่งออกเป็น “สามก๊ก” ขั้วสหรัฐฯ-ขั้วจีน-ขั้วกลาง ซึ่งกดดันจีนในเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องการหา “ทางออก” ทางทะเลสู่ทางตอนใต้ เพื่อลดแรงกดดันจากการ “ปิดล้อม” ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ณ กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย ที่จบลงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน นายกรัฐมนตรีของจีนในฐานะตัวแทนรัฐบาลจีนก็กระตุกความคิดผู้นำอาเซียนด้วยการเรียกร้องมิให้ “เลือกข้าง” เพราะเกรงว่าภูมิภาคนี้จะกลายเป็น “ยูเครน 2”
นอกจากนี้ อาเซียนยังถือเป็น 1 ใน 6 “ระเบียงเศรษฐกิจ” ที่จีนออกแบบไว้ภายใต้อภิมหายุทธศาตร์ BRI ซึ่งสะท้อนว่า จีนเล็งเห็นถึง “ผลประโยชน์ร่วม” และอยากเห็นความเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นในภูมิภาค ซึ่งเป็นเสมือนการผลักดันแคมเปญ “รวยร่วมกัน” (Common Prosperity) ภาคสองให้ขยายออกไปยังต่างประเทศ
ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ และมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวจีนจึงเป็นตลาดที่กิจการของหลายประเทศต่างหมายปอง ยกตัวอย่างเช่น ภายใต้โมเดล “ลูกรักบี้” ที่ป่องกลาง จำนวนคนชั้นกลางถูกคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 400 ล้านคนในปี 2020 เป็น 800 ล้านคนในปี 2035 หรือราว 2.5 เท่าตัวของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน มูลค่าการนำเข้าก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นกว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งนั่นหมายถึงกำลังซื้อมหาศาลที่จะเกิดขึ้น
สำหรับไทย จีนเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ผมสังเกตเห็นว่า ทั้งสองประเทศพยายามขยายผลนโยบาย “Connectivity” ของอาเซียนเพื่อเอื้อต่อการดำเนินนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งระหว่างกัน อาทิ การอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง และการขยายโครงข่ายคมนาคมของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านก็มีส่วนสนับสนุนต่อนโยบาย BRI
ก่อนยุคโควิด จีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหญ่สุดของไทย เราเคยมีนักท่องเที่ยวจีนมาจับจ่ายใช้สอยที่บ้านเราถึงกว่า 10 ล้านคนต่อปี หรือกว่า 25% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยโดยรวม หลายฝ่ายคาดหวังว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในอดีตจะพลิกฟื้นกลับคืนมาในเร็ววัน
ขณะเดียวกัน ด้วยความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ ความสามารถด้านการผลิตการตลาด และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านหลายเวที โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เอเปค และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ทำให้จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี บางคนอาจมองในเชิงลบว่า ไทยเสียประโยชน์จากการขาดดุลการค้ากับจีนมาอย่างต่อเนื่องและขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่หากคิดในภาพรวมแล้ว การนำเข้าสินค้าจีนที่มีราคาถูกและคุณภาพดีในเชิงเปรียบเทียบ ทำให้ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมีทางเลือกใหม่ทดแทนสินค้าจากแหล่งอื่น และช่วยให้ไทยลดการขาดดุลการค้าในภาพรวม
ปัจจุบัน มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนได้ทะลุหลัก 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว เราเห็นจีนแสวงหาและสั่งซื้อข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล ผลไม้ เนื้อสัตว์ และสินค้าเกษตรอื่นๆ ของไทยเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
หลายท่านอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าที่คนจีนต่างชื่นชอบในรสชาติและกลิ่นของข้าวหอมมะลิไทยมาช้านาน มาถึงวันนี้ ทุเรียนถือเป็นผลไม้ยอดนิยมที่คนจีนต่างซื้อหามาบริโภคและกลายเป็นของฝากที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
เหล่านี้มีส่วนเสริมสร้างจุดเด่นของไทยในด้าน “ซอฟท์พาวเวอร์” และการเป็นครัวโลก และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่สินค้าและบริการอีกหลายประเภท ท่านผู้อ่านอาจแปลกใจเมื่อได้รับทราบว่า เครื่องประทินผิวหลายแบรนด์ของไทยได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้บริโภคชาวจีนอย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น ครีมกันแดดของ “มีสทีน” ก็ทำยอดขายสูงที่สุดในปัจจุบัน แซงหน้าแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำของโลกเสียด้วยซ้ำ
ในทางกลับกัน แบรนด์สินค้าจีนก็เข้ามาขยายตลาดในไทยอย่างกว้างขวาง และด้วยความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพที่ดี ก็ทำให้สินค้าจีนสามารถเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดจากแบรนด์สินค้าของชาติอื่นในเมืองไทยได้อย่างรวดเร็ว
จีนยังก้าวขึ้นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยอันดับ 1 ในระยะหลัง และหากไทยรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ได้ทันท่วงที FDI ของจีนก็คาดว่าจะหลั่งไหลเข้าสู่จีนอีกมากในอนาคต ทำนองเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นกับ FDI ของประเทศและภูมิภาคอื่นในไทยเช่นกัน
กิจการเครือเจริญโภคภัณฑ์นับเป็นกิจการแรกของต่างชาติที่บุกเบิกเข้าไปลงทุนในจีนเมื่อกว่า 40 ปีก่อน โดยได้ทะเบียนการค้าหมายเลข 0001 และขยายการลงทุนในหลากหลายประเภทธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา ปัจจุบัน เครือเจริญโภคภัณฑ์มีธุรกิจในจีนมากกว่า 600 บริษัท กระจายอยู่ในทั่วทุกมณฑล/มหานครของจีน และมีพนักงานรวมกันนับแสนคน
ซีพีและกิจการของไทยน้อยใหญ่จำนวนมากยังได้ขยายการลงทุนในจีนอย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจด้านการเกษตรและอาหาร สู่หลากหลายอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการ อาทิ มิตรผล บ้านปู สหยูเนี่ยน ปตท. และกระทิงแดง รวมทั้งธนาคารกรุงเทพ เคแบ้งค์ และธนาคารไทยพาณิชย์
หากท่านผู้อ่านเดินทางไปเยือนจีน อาจสังเกตเห็นร้านอาหารไทย และร้านนวดและสปาไทยเพิ่มจำนวนและกระจายตัวในหลายหัวเมืองของจีน ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยมาท่องเที่ยวที่ไทย ต่างมองหาธุรกิจบริการที่มีความเป็นไทยอย่างแท้จริงมากขึ้นทุกขณะ กอปรกับกำลังซื้อของคนจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่จับตลาดระดับกลางและระดับบนจึงต่างคราคร่ำไปด้วยลูกค้าชาวจีนที่พร้อมจ่ายค่าบริการในอัตราที่สูง
เราก็ยังเห็นกิจการไทยขยายเข้าสู่ธุรกิจช่องทางจัดจำหน่ายสมัยใหม่ การเงินการธนาคาร การออกแบบและก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาธารณะกันอย่างกว้างขวาง
นับแต่ปี 2015 จีนได้ให้ความสำคัญยิ่งกับการดำเนินนโยบาย Made in China 2025 และการพัฒนาด้านนวัตกรรมผ่านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และจริงจัง
สิ่งนี้สอดรับกับวิสัยทัศน์ “ไทยแลนด์ 4.0” ที่ต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยสู่ยุคใหม่ และนำพาประเทศให้หลุดพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ผ่านความพยายามที่ต้องการยกระดับสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต หรือที่เรานิยมเรียกว่า “New S-Curve” รวม 12 ประเภท อาทิ การเกษตรสมัยใหม่และไบโอเทค เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจดิจิตัล สุขภาพ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
โดยในชั้นนี้ รัฐบาลไทยได้กำหนดโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษรวม 6 แห่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของไทย ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่จะทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตต่อไปอย่างมีเสถียรภาพอีกอย่างน้อย 30 ปีในอนาคต
ขณะเดียวกัน จีนก็ขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ส่งผลให้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” เป็นระเบียงเศรษฐกิจที่ธุรกิจจีนและต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุนมาเป็นอันดับต้น ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตและบริการสีเขียว
ผมยังสังเกตเห็นว่า ซีพีและธุรกิจจำนวนมากของไทยก็ได้จัดสรรทรัพยากรและเครือข่ายในการช่วยผลักดันและสนับสนุนการพัฒนาอีอีซีให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และกลายเป็น “หุ้นส่วนทางธุรกิจ” ในหลายธุรกิจของจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย
คราวหน้าผมจะชวนไปคุยในประเด็นความสัมพันธ์ของจีนและอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทย ในมิติอื่น และขยับไปสู่ประเด็นคำถามอื่นกันครับ ...
ภาพจาก AFP