“โป๊ปฟรานซิส” ทรงชื่นชมไทยไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ ยอมรับวัฒนธรรมแตกต่าง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟราสซิสประทานสุนทรพจน์ทรงชื่นชมไทยไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ - พหุวัฒนธรรม และ ตั้งใจแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบกับเด็ก-สตรี

วันนี้ ( 21 พ.ย. 62 )สมเด็จพระสันตะปาปาฟราสซิสได้ประทานสุนทรพจน์ ในโอกาสเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยระหว่างวันที่ 20-23 พ.ย. 2562 ตามคำเชิญของรัฐบาลไทยและสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทยความว่า ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ ในการเยือนแผ่นดินไทยอันอุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติและยังคงรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ซึ่งได้ประสบด้วยตนเอง จะเป็นพยานยืนยันเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างประเทศ และประชาชนทั้งโลก

โดยขอยืนยันถึงความปราถนาดี ที่มีต่อไทย และรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอแสดงความเคารพอย่างสูงต่อ พระบาทสมเด็จพบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนารถบพิต พร้อมอำนวยพรไปยังปวงชนชาวไทยทุกคน และแสดงความยินดีที่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้ง เป็นก้าวสำคัญต่อประชาธิปไตย

ทั้งนี้ปัญหา ของโลกในปัจจุบันส่งผลกระทบทึกคน จึงเกิดการเรียกร้องในการสร้างความยุติธรรม จึงเห็นว่า ในช่วงเวลาสำคัญที่ไทยได้ทำหน้าที่และหมดวาระในการทำหน้าที่อาเซียน แก้ปัญหาประชาชน ในภูมิภาคนี้ และในฐานะที่ไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรม และยอมรับร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และการเป็นพหุวัฒนธรรม ท่ามโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ได้ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมองข้ามมิติด้านจิตวิญญาณและความสวยงามของประชาชน

พระองค์ รู้สึกดีใจที่มีการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งศูนย์จริยธรรมในสังคมที่ได้เชิญผู้แทนศาสนาต่างๆเข้ามามีส่วนร่วม ในการรักษาความทรงจำทางจิตวิญญาณอันมีชีวิตของประชาชน และในโอกาสที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยะวงศาคะตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก จะเป็นการแสดงถึงการสร้างมิตรภาพ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของสังคม ไม่มีแบ่งแยก ชาวคาทอลิกแม้เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆจะพยายามอย่างเต็มที่สนับสนุนอัตลักษณ์

พร้อมกันนี้ทรงชี้ถึงการอพยพย้ายถิ่นฐาน โดยวิงวอนให้ประชาคมระหว่างประเทศ ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ ในการแก้ปัญหานี้ หวังว่าจะมีการจัดตั้งกลไกลที่ประสิทธิภาพ ในการปกป้องสิทธิ และ ศักดิ์ศรีของผู้ย้ายถิ่นและอพยพ

พร้อมชื่นชมรัฐบาลไทยและทุกองค์กรที่ได้แก้ปัญหาความรุนแรง การเอารัดเอาเปรียบกับเด็กและสตรี และปีนี้เป็นปีครบรอบ 30 ปี อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และทรงย้ำว่าปัจจุบันสังคมต้องการผู้ที่ส่งเสริมให้เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และขอให้ทุกคนมีความสามัคคี ปฎิบัติหน้าที่ตนเอง สร้างประโยชน์ร่วมกัน ให้ทั่วถึงทุกหนแห่ง