ส่องหุ้นเนื้อหอมในตลาดเกิดใหม่ อินเดีย-อินโดฯ คู่หูเติบโตเด่น
ผมยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดเกิดใหม่ ซึ่ง 2 ประเทศที่น่าสนใจดังที่กล่าวมานี้จะเป็นหลุมหลบภัยในยามที่ตลาดทั่วโลกเผชิญกับความผันผวน ซึ่งการกระจายพอร์ตลงทุนจะช่วยให้คุณยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยดูจะเริ่มกลับมามีสีสันหลังจากการเมืองบ้านเราเริ่มเข้ารูปเข้ารอย (หรือเปล่า) แต่ผมเชื่อว่าโลกการลงทุนทุกวันนี้ไปไกลมากแล้ว นักลงทุนเริ่มมองหาโอกาสในการออกไปลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนของตัวเอง เพราะบทเรียนที่ผ่านมา การลงทุนที่กระจุกในตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปสร้างบาดแผลที่เจ็บปวดไม่น้อยเลย จริงไหมครับ
แต่ต้องยอมรับว่าในยามที่ตลาดทั่วโลกกำลังเผชิญกับข่าวลบรอบด้าน โอกาสลงทุนดูไม่ค่อยจะแจ่มชัด โดยเฉพาะตลาดหลักของโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯหรือจีน หัวข้อการสนทนาเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงนี้คือ ยังมีตลาดไหนที่พอจะเป็น ‘หลุมหลบภัย’ ให้กับพอร์ตบ้างไหม และเริ่มเห็นว่าหลายคนถามหาโอกาสจากตลาดเกิดใหม่ว่ายังมีอยู่ในส่วนไหนของโลกบ้าง คำตอบก็คือ ‘มีครับ’
วันนี้ผมมีตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ 2 ประเทศมาให้คุณพิจารณาเป็นทางเลือกการลงทุนครับ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนและยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตคุณได้ระดับห
นึ่งนะครับ ตลาดที่เป็นม้ามืดแซงทางโค้งในเอเซีย และทำเอานักลงทุนทั่วโลกหันมาฉายสปอตไลท์นั่นก็คือ ‘อินเดีย’ ครับ
เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีข่าวดีที่เป็นกระแสใหญ่ของโลกว่า ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกต่างๆ กำลังจะเปลี่ยนอินเดียให้เป็นศูนย์กลางการส่งออกรถยนต์ หลังจากปีที่ผ่านมา
อินเดียยึดตำแหน่งตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากจีนและสหรัฐฯ ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นของประชากรในอินเดีย ทำให้อุปสงค์ในท้องถิ่นเปลี่ยนจาก
รถยนต์ขนาดเล็กราคาไม่แพงขยายไปสู่รถยนต์คุณภาพสูง
ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายจึงตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดอินเดียและพร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นเหล่านั้นในประเทศอื่นๆ ด้วย รวมถึงแผนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วย
บริษัท Maruti Suzuki ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีกำลังการผลิต 2.25 ล้านคันต่อปี และมีแผนจะสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ในปี 2568 โดยมีกำลังการผลิตเริ่มต้นปีละ 250,000 คัน และในที่สุดก็เพิ่มเป็น 1 ล้านคัน
โฆษกของ Maruti Suzuki ยืนยันว่าอินเดียนั้นมีศักยภาพการเติบโตทั้งในตลาดรถยนต์และการส่งออกต้นทุนที่ต่ำกว่า เครือข่ายผู้จำหน่ายชิ้นส่วนในประเทศที่กว้างขวาง
และค่าแรงที่ค่อนข้างถูกเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่หนุนการส่งออกยานยนต์ของอินเดียเทียบชั้นคู่แข่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ภาคชิ้นส่วนยานยนต์เติบโตประมาณ 33% ในปีงบประมาณ 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อินเดีย
ข่าวใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่า ตลาดหุ้นอินเดียวิ่งตอบรับคึกคักอย่างแน่นอน เพราะนั่นหมายถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าของอินเดียที่ไปต่อไม่ยั้งแล้ว
@ เศรษฐกิจอินเดีย เติบโตสูงไม่เป็นรองใคร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ว่าเป็นตลาดที่เติบโตสูงตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติด
Top 10 ของโลก ขณะที่ประชากรอินเดียเวลานี้อยู่ที่ 1,426 ล้านคน แซงหน้าประเทศจีนแล้ว! ด้วยประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว อายุเฉลี่ยราว 28 ปี ล้วนเป็นวัยทำงานสร้างรายได้ ส่งผลให้อินเดียมีจำนวนแรงงานและผู้บริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางหนุนให้อินเดียกลายเป็นตลาดบริโภคขนาดใหญ่ของโลก
วันนี้ อินเดียเติบโตก้าวหน้าด้วยย่าวก้าวที่รวดเร็ว เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ล้ำหน้ากว่าหลายๆ ประเทศ ทิ้งภาพจำอินเดียยุคสังคมนิยม พลิกขั้วจากอดีตที่เติบโตจากภาคเกษตรกรรมมองไปข้างหน้า อินเดียจะมีการขยายเมืองอีก และจะเป็นแรงส่งให้ดินแดนภารตะยิ่งเติบโตไปได้อีกไกล ด้านการเมืองของอินเดีย ค่อนข้างมีเสถียภาพและมีข่าวลบที่เกี่ยวกับความขัดแย้งค่อนข้างน้อย อีกทั้งช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดีย ยังเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับโลกฝั่งตะวันตกมากขึ้น สะท้อนภาพรัฐบาลมีความพยายามชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงเงินลงทุนต่างชาติเท่านั้น นักลงทุนในประเทศเองก็ยังขยายการลงทุนเช่นกัน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของอินเดียในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของเศรษฐกิจอินเดียก็ยังมีอยู่ โดยเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งกดดันให้ธนาคารกลางอินเดีย อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก
หลังจากที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมาสู่ระดับ 6.5% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และภาคส่งออกและนำเข้าของอินเดีย ที่ได้รับผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ในระยะยาว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้คาดการณ์ GDP ของอินเดีย เติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตค่อนข้างสูงในภูมิภาคเอเชีย หลังจากปีที่แล้ว GDP อินเดียได้ขยายตัวถึง 7% แซงหน้าจีนที่เติบโตเพียง 3% ตอกย้ำเศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่ง และปีนี้ก็ไม่ได้แผ่วลงเลย
เศรษฐกิจยังเติบโตยืนระดับสูงได้ ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้วยศักยภาพของอินเดีย มีการคาดการณ์กันว่า ในระยะ 10 ปีข้างหน้า มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจอินเดียมีขนาดใหญ่กว่าญี่ปุ่นและเยอรมัน ตอกย้ำว่าอินเดียก็ไม่แพ้ประเทศพัฒนาแล้ว
ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจที่ strong มากๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นแรงส่งให้ตลาดหุ้นอินเดียสดใส ดัชนี Sensex สามารถยืนบวก 6% ตั้งแต่ต้นปี สวนกระแสตลาดหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก และในปีนี้ ตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีทิศทางเป็นขาขึ้นและทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น สะท้อนภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอินเดียและความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มของ การเติบโตอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio จาก Bridgewater Associates ยักษ์ใหญ่ด้าน Hedge Fund ของโลกบอกว่า โอกาสการลงทุนในอินเดียมีอยู่อย่างมหาศาล และจะเห็นเศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้เร็วที่สุดในโลกด้วย ผมจึงเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสเติบโตตามศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวครับ เป็นอีกตลาดที่มีเสน่ห์น่าเข้าลงทุนครับ และเหมาะสำหรับกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ควรติดไว้ในพอร์ต
หากอยากรู้จักหุ้นเด่นของอินเดียมากขึ้น ผมมีข้อมูลหุ้น Top 5 ของอินเดียที่ Jitta.com ได้รวบรวมข้อมูลไว้ (ณ วันที่ 24 ส.ค. 2566) ได้แก่
- State Bank of India ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ +9.34% ซึ่งทำธุรกิจการธนาคาร และบริการทางการเงินของภาครัฐของอินเดีย มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 1 ใน 4 ของธนาคารทั้งหมดในอินเดีย และยังเป็นธนาคารที่ติดอันดับ Fortune 500
- West Coast Paper Mill limited ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่+28.81% ผู้ผลิตกระดาษสำหรับการพิมพ์ การเขียนและบรรจุภัณฑ์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในอินเดีย
- Bank of Baroda Limited ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +20.69% ธุรกิจธนาคารแก่พลเมืองของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน / ลงทุน /กู้สินเชื่อต่างๆ
- Andhra Paper limited ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +6.99% ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระดาษเขียน พิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสำหรับตลาดต่างประเทศและในประเทศ
- GHCL limited ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +0.68% ผู้ผลิตโซดาแอชรายใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดียใช้ทำแก้วและผงซักฟอกและเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับแก้วในแผงโซล่าร์และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
สำหรับผลประกอบการของทั้ง 5 บริษัทนี้ ในปี 2022 มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เรียงจากอันดับที่ 1 - 5 มีการเติบโตของรายได้ถึง 13.01% , 45.69% , 24.24% ,
51.98% และ 48.93% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตจากปีก่อนที่สูงมาก
@ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย กับธีมสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทางเลือกตลาดเกิดใหม่ ตลาดเกิดใหม่อีกแห่งในอาเซียนที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัว คือ อินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างมากและเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกรายใหญ่ของโลกด้วยไม่ว่า ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม และแร่สำคัญๆ ที่ทั่วโลกมีความต้องการสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นทองแดง ดีบุก เหล็ก โดยเฉพาะนิเกล ที่มาแรงเพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV แบตเตอรี่ เป็นต้น ทำให้อินโดนีเซียถูกติดดาวในกลุ่มอาเซียน
เมื่อปีที่แล้ว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกพุ่งขึ้นสูงมาก ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจขยายตัวสูงถึง 5.3% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 ปี และเป็นแรงส่งให้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียทำผลงานออกมาได้ดีด้วย นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุนเพราะมองเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนธีมสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดนี้
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียดัชนี Jakarta Stock Exchange Composite ปีที่แล้ว ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.78% ค่า P/E ล่าสุดสำหรับเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 13.08 เท่า ซึ่งถือว่าตํ่าหากเทียบกับตลาดที่เติบโตแล้วเช่นสหรัฐฯ อินโดนีเซียยังถือว่ายังเป็นตลาดเกิดใหม่ที่สามารถเติบโตได้ อินโดนีเซียมีประชากรอายุน้อยในสัดส่วนที่สูง ซึ่งสามารถช่วยในส่วนของกำลังแรงงานและส่งเสริมตลาดผู้บริโภคให้แข็งแกร่งขึ้นได้
แนวโน้มเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ในปี 2566 คาดการณ์ GDP เติบโต 4-5% ถือว่าอยู่ในระดับสูง ได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากอุปสงค์ในประเทศ อินโดนีเซียมีเป้าหมายที่จะบรรลุสถานะประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี พ.ศ. 2588 ซึ่งจะต้องมีการจัดการกับการเติบโตของภาคการผลิตที่ลดลงเนื่องจากจำนวนแรงงานที่ลดลง ซึ่งพบได้ทั่วไปในตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจเติบโตมาจากภาคการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ตลาดหุ้นที่มีน้ำหนักหลักๆ จะอยู่ในกลุ่มภาคธนาคารเป็นหลัก และตามด้วยกลุ่มพลังงาน หากต้องการลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เหมาะสำหรับการเลือกหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มผลดำเนินงานเติบโตดี โดยจากการตรวจสอบหุ้น Top 5 ของอินโดนีเซีย ณ วันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา บนเว็บไซด์ www.Jitta.com ได้แก่
- PT United Tractors Tbk ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ +11.72% ซึ่งดำเนินธุรกิจขายและให้เช่าเครื่องจักรกลในอินโดนีเซีย เครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง, การทำสัญญาเหมืองแร่, การขุดถ่านหิน,การขุดทอง, อุตสาหกรรมก่อสร้าง และพลังงาน
- PT Astra International Tbk ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +13.91% ดำเนินธุรกิจด้านยานยนต์ บริการทางการเงิน เครื่องจักรกล เหมืองแร่ การก่อสร้างพลังงาน เกษตรกรรม โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอินโดนีเซีย
- PT Bank Mega Tbk ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน -10.17% ผู้ให้บริการด้านการธนาคารที่หลากหลายในอินโดนีเซีย
- PT Trans Power Marine Tbk ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +26.77% ผู้ให้บริการขนส่งและขนถ่ายสินค้าในอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่
น แร่เหล็ก ทราย ถ่านหิน
- PT Golden Energy Mines Tbk ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +16.6% ดำเนินธุรกิจเหมืองแร่และการค้าถ่านหิน
และหากดูงบการเงินปี 2565 พบว่า ทั้ง 5 บริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เรียงจากอันดับที่ 1 - 5 มีการเติบโตของรายได้ถึง 55.56% , 31.72% , 4.83% ,
63.08% และ 100.87% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของหุ้นในตลาดเกิดใหม่
ผมมองว่าราคาหุ้น Top 5 ได้ปรับตัวลงมามากเหมาะสำหรับการทะยอยเข้าลงทุน ในภาวะที่เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอินโดนีเซียจะมีความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอน และปีหน้าจะมีการเลือกตั้งใหญ่ ดังนั้น หากคุณสนใจจะลงทุน ก็ควรต้องทำการบ้านและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบว่า หุ้นที่ถืออยู่ได้รับผลกระทบหรือไม่
โดยสรุปแล้วผมยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดเกิดใหม่ ซึ่ง 2 ประเทศที่น่าสนใจดังที่กล่าวมานี้จะเป็นหลุมหลบภัยในยามที่ตลาดทั่วโลกเผชิญกับความผันผวน
ซึ่งการกระจายพอร์ตลงทุนจะช่วยให้คุณยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น หากคุณมีการจัดพอร์ตให้กระจายการลงทุน
ผมเชื่อว่าพอร์ตของคุณ จะยิ่งดูมีน้ำมีนวลให้เห็นตัวเลขบวกๆ สดชื่นบ้างครับ หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลหุ้นตัวแต่ละประเทศเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่
Jitta.com ซึ่งผมได้รวบรวมไว้ให้คุณศึกษาได้อย่างง่ายดายและที่สำคัญคือ ฟรี! ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใดๆ ผมขอแนะนำให้คุณศึกษาและทำการบ้านให้มาก
เพราะยิ่งเรามีความรู้มากเท่าไร ความเสี่ยงจะยิ่งลดลงได้ครับ
.
.
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
CEO Jitta Wealth
.
.
ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์
• Line @TNNWEALTH : https://bit.ly/3tCKmiD
———————————————————————
ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube
• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok
หรือดูรายการ Live ได้ทาง https://bit.ly/3HmUu4O