TNN online ราคาพลังงานพุ่งดันเงินเฟ้อไต่ขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี- จับตา สงครามรัสเซียยูเครน

TNN ONLINE

Wealth

ราคาพลังงานพุ่งดันเงินเฟ้อไต่ขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี- จับตา สงครามรัสเซียยูเครน

ราคาพลังงานพุ่งดันเงินเฟ้อไต่ขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี- จับตา สงครามรัสเซียยูเครน

วิจัยกรุงศรี ชี้ราคาพลังงานพุ่งดันเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 5.28% พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี จับตาสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนกระทบราคาพลังงาน เสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อจากนี้ คาดธปท.ตรึงดอกเบี้ยตลอดทั้งปี

วันนี้(8 มี.ค.65) สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากวิกฤตราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 5.28% YoY เร่งขึ้นจาก 3.23% ในเดือนมกราคม สาเหตุจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานเป็นสำคัญ อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทางการได้มีมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงเกือบสิ้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่มอาหารโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป และอาหารบริโภคนอกบ้าน มีการปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 1.80% สูงสุดในรอบกว่า 7 ปี จาก 0.52% เดือนมกราคม สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ 4.25% และ 1.16% ตามลำดับ


ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเร่งขึ้นมากโดยแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 และยืนอยู่เหนือกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ในเดือนถัดไปยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทะยานสูงขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่มีความเสี่ยงจะยืดเยื้อ แรงกดดันทางด้านราคาโดยเฉพาะในหมวดพลังงานจึงเพิ่มขึ้นกว่าคาด กระทบต้นทุนการผลิตปรับเพิ่ม อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จึงมีโอกาสสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.7%


นอกจากนี้ สถานการณ์ความรุนแรงในยูเครนดังกล่าว ยังอาจสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงการระบาดของไวรัสโอมิครอนในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ในระดับสูงกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยซึ่งนับว่ามีความอ่อนแอและเปราะบางอยู่มาก วิจัยกรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกตรึงไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.50% ตลอดทั้งปี 2565 แม้มีปัจจัยบวกอยู่บ้าง แต่ความเสี่ยงจากวิกฤตยูเครนที่ทวีความรุนแรง อาจกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว


อย่างไรก็ตาม ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรี (วันที่ 1 มีนาคม) มีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลง Air Travel Bubble ระหว่างไทย-อินเดีย ซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่การกลับมาเปิดเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากถูกระงับไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ไทยมีนักท่องเที่ยวอินเดียราว 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 5% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม แต่หลังจากไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวด้วยมาตรการ Test & Go ยังมีนักท่องเที่ยวอินเดียเข้ามาเพียง 7,671 คน (พฤศจิกายน 2564 - มกราคม 2565) หรือคิดเป็น 1.6% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำความตกลงดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่าจีนเริ่มหาแนวทางยกเลิกนโยบาย Zero Covid ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็ว คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังเป็นปัจจัยลบที่ต้องติดตาม โดยล่าสุดเดือนมกราคม นักท่องเที่ยวรัสเซียมีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง 23,761 คน (สัดส่วน 17.7% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม) เทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการระบาดอยู่ที่ 1.5 ล้านคน (สัดส่วน 3.7%)


ในส่วนของเศรษฐกิจโลก สงครามในยูเครน การคว่ำบาตร และการตอบโต้ที่ทวีความรุนแรง เพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก วิกฤตยูเครนรุนแรงกว่าคาด เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรป สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะภูมิภาคยูโรโซน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประเมินว่าความเสียหายเบื้องต้นอาจทำให้ GDP ของยูโรโซนลดลงประมาณ 0.3%-0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4.2% อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่มีแนวโน้มลากยาวและรุนแรงยิ่งขึ้นจะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยุโรปและชาติพันธมิตรอาจห้ามการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ความขัดแย้งยังอาจส่งผลต่อภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ล่าสุดธนาคารโลกระบุว่าสงครามในยูเครนถือเป็นหายนะที่จะบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 


ด้านสหรัฐฯแม้เผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามในยูเครน แต่ตลาดแรงงานสหรัฐฯที่ตึงตัวอาจกดดันเฟดให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น ขณะที่ทางการกำหนดเป้าหมายการเติบโตสูงกว่าคาด พร้อมรับมือความเสี่ยงในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น 


ที่มา:วิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 

ภาพ:AFP

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง