มุมมอง 'เจมส์ คาเมรอน'!! ผกก. Titanic & นักสำรวจทะเล หลังเหตุเรือดำน้ำไททันหายปริศนา

ในขณะที่ทั่วโลกเกาะติดและเอาใจช่วยกับเหตุการณ์เรือดำน้ำนำเที่ยว “ไททัน” (Titan) พาชมซากเรือ “ไททานิค” (Titanic) ณ ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เกิดสูญหายไปอย่างปริศนาพร้อม 5 คนบนเรือ เนื่องจากใกล้หมดช่วงเวลา 96 ชั่วโมงที่ออกซิเจนบนเรือจะเพียงพอสำหรับคนบนเรือทั้ง 5 ชีวิต (คลิกอ่านข่าวอัปเดตสถานการณ์เรือดำน้ำไททัน)

สำนักข่าว “ซีเอ็นเอ็น”(CNN) ได้ทำการรวบรวมบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์ดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรมาหลายต่อหลายครั้งของ “เจมส์ คาเมรอน” (James Cameron) ผู้กำกับหนัง 11 รางวัลออสการ์เรื่อง Titanic รวมถึงหนัง Avatar ที่ต่างมีฉากใต้น้ำที่ชวนตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากทางผู้กำกับคนดัง วัย 68 ปี เคยได้รับการบันทึกว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่ใช้เรือดำน้ำลงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของโลกใต้ท้องทะเลมาแล้ว 

ภาพจาก: IMDb

▪ แรงบันดาลใจที่แท้จริงในการสร้างหนัง Titanic

ในบทสัมภาษณ์ปี 2009 กับนิตยสาร “เพลย์บอย” (Playboy) “เจมส์ คาเมรอน” บอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาอยากสร้างหนัง Titanic ไม่ใช่เพราะอยากจะบอกเล่าเรื่องราวความรักอันน่าประทับใจหรืออยากจะทำหนังขึ้นมาสักเรื่อง แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากจะดำดิ่งลงไปสำรวจซากเรือเจ้าของสมญาไม่มีวันจมที่อยู่ใต้มหาสมุทรต่างหาก!!

ผู้กำกับคนดังบอกว่า “เรือไททานิคก็เปรียบได้กับยอดเขาเอเวอร์เรสต์ในบรรดาเรือที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลครับ ดังนั้นในฐานะนักดำน้ำ ผมก็ต้องอยากจะลงไปเห็นสิ่งที่เป็นที่สุดของที่สุด ยิ่งพอผมรู้ว่ามีคนดำลงไปถ่ายภาพซากเรือเอามาทำเป็นหนัง IMAX ผมก็เลยตัดสินใจว่างั้นผมจะทำหนังฮอลลีวูดเพื่อหาทุนลงไปดูซากเรือไททานิค แล้วจะกลับมาบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ไปประสบพบเห็นมาครับ”

จากตรงนี้ทำให้ “เจมส์ คาเมรอน” มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการทำหนังของตัวเองกับการออกสำรวจทางทะเลที่ตัวเขาชื่นชอบ โดยเขาบอกว่า “ผมมองว่าหน้าที่ของนักสำรวจคือการผจญภัยไปให้สุดทางในบทบาทของตัวเอง ก่อนจะกลับมาบอกเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือผมรักการผจญภัยและชอบที่จะสัมผัสกับประสบการณ์ครั้งแรกอยู่เสมอเลยครับ”

ภาพจาก: IMDb

▪ เมื่อ “เจมส์ คาเมรอน” ดำดิ่งลงไปลึกยิ่งกว่าซากเรือไททานิก

เลือดนักสำรวจและความชื่นชอบในการผจญภัยที่เข้มข้นอยู่ในตัว “เจมส์ คาเมรอน” มาแต่เด็ก และนับแต่ถ่ายทำหนัง Titanic เมื่อปี 1997 ทำให้เขาได้ดำดิ่งลึกลงสู่ใต้ท้องทะเลมาหลายสิบครั้ง เมื่อปี 2012 หรือ 15 ปีให้หลังจากที่ Titanic เข้าฉาย เขาได้ดำลงไปถึง “ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียน่า” (Mariana Trench) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรบนโลกใบนี้ที่ความลึกเกือบ 7 ไมล์หรือกว่า 11.26 กิโลเมตรจากระดับผิวน้ำ ที่สำคัญเขาลงไปด้วย Deepsea Challenger แคปซูลดำน้ำความยาว 24 ฟุตที่เขาออกแบบขึ้นเองด้วย (คลิกชมคลิปบทสัมภาษณ์)

“เจมส์ คาเมรอน” เล่าถึงการผจญภัยสู่ Mariana Trench กับทาง National Geographic ว่า “พอ (แคปซูลดำน้ำ) ออกตัวแล้วก็เหมือนกระสุนออกจากแหล่งเลยครับ มันเป็นความเร็วที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ผมอยู่ห่างจากพื้นผิวน้ำลงมาเรื่อยๆ เร็วระดับที่ระยะทางพันฟุตผมใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เหมือนแคปซูลดำน้ำเป็นค้างคาวที่พุ่งหลุดออกมาจากนรกแบบนั้นเลยครับ”

ภาพจาก: IMDb

“เจมส์ คาเมรอน” เล่าว่าเขาดำดิ่งผ่านระดับความลึกของซากเรือไททานิคไปสู่ความลึกระดับ 27,000 ฟุต ซึ่งถือว่าลึกที่สุดเท่าที่เขาเคยดำน้ำลงมา แม้ว่าอันที่จริงจะยังลงไปลึกได้อีก 9 พันฟุตจึงจะถึงพื้นก้นมหาสมุทรจริงๆ ในช่วงเวลานั้นเขาได้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลา 7 ปีที่ใช้ในเตรียมตัวเพื่อการดำดิ่งลงมาในครั้งนี้ และมีความสุขกับการอยู่เพียงลำพังตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งปวง ได้เห็นในสิ่งที่ยังไม่มีมนุษย์คนไหนได้เห็นมาก่อน และก็ต้องยอมรับว่าหากเกิดอะไรขึ้นก็ยากที่จะมีใครมาช่วยเหลือเขาได้ทัน จนกระทั่งภรรยาติดต่อเข้ามา เธอจึงเป็นเสมือนสักขีพยานคนสำคัญในการดำดิ่งลงไปสู่จุดที่ลึกที่สุดในโลกของเขาในตอนนั้น (บทสัมภาษณ์กับรายการ 60 Minutes Australia ปี 2018)

และก็น่าจะด้วยประสบการณ์อันแสนมหัศจรรย์อย่างที่ “เจมส์ คาเมรอน” เล่ามา จึงทำให้โลกใต้ท้องทะเลลึกและซากเรือไททานิค ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักผจญภัยให้พร้อมจะทุ่มเงินและเสี่ยงชีวิตเพื่อจะลงไปสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต  เช่นเดียวกับ 5 คนบนเรือดำน้ำนำเที่ยวไททัน ที่ทั่วโลกต่างหวังให้ทั้งหมดรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ภาพจาก: www.rollingstone.com

ขณะเดียวกันล่าสุดมีรายงานข่าวโยงบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ของ “เจมส์ คาเมรอน” เรื่องที่ว่าเขาเคยติดอยู่ใต้ท้องทะเลลึกนาน 16 ชั่วโมงเพราะแคปซูลดำน้ำติดอยู่กับซากเรือไททานิคตอนดำลงไปสำรวจ ซึ่งนี่ยังเป็นหนึ่งในห้าสาเหตุที่ผู้สันทัดกรณีคาดการณ์ว่าอาจเป็นต้นตอที่ทำให้เรือดำน้ำนำเที่ยวไททันสูญหายไปในครั้งนี้ด้วย (คลิกอ่านข่าวติดซากเรือไททานิก)

ภาพจาก: Twitter #JamesCameron