“ปวดหัว” เพราะไม่ได้กินกาแฟ คือภาวะขาดคาเฟอีนเฉียบพลัน!
“กาแฟ” จัดเป็นเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ที่คนนิยมดื่มให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า แต่ใครที่ดื่มเป็นประจำอาจเกิดภาวะติดกาแฟ ทำไม่สามารถหยุดดื่มหรือลดปริมาณลงได้ เนื่องจากจะมี “อาการปวดหัว” ซึ่งเป็นผลจากการขาดคาเฟอีนฉับพลัน
ในกาแฟที่เราดื่มเข้าไปทุกวันนั้น มีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า คาเฟอีน (Caffeine) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นประสาท ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า รู้สึกตื่นตัว ภาวะการขาดคาเฟอีนอย่างเฉียบพลัน มักเกิดในช่วง 12-24 ชั่วโมงหลังการบริโภคครั้งสุดท้าย อาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 20-48 ชั่วโมง และอาการนี้อาจคงอยู่ภายใน 7 วันเลยทีเดียว
อาการที่พบบ่อยมากที่สุด คือ “ปวดศีรษะ” นอกจากนี้แล้ว อาจเกิดภาวะอ่อนเพลีย ง่วงซึม หดหู่ ไม่มีสมาธิได้ แต่หากร่างกายได้รับคาเฟอีนเข้าไปก็จะค่อยๆ ดีขึ้นภายในครึ่งชั่วโมง
สำหรับใครที่ดื่มกาแฟทุกวันจนเป็นนิสัย หรืออาจถึงขั้นติดบริโภคการแฟไปแล้ว หากต้องการงด ลด หรือเลิก ควรค่อยๆ ปรับลงปริมาณลง ในช่วงระยะเวลา 7-14 วัน เพื่อป้องกันอาการขาดคาเฟอีน โดยจำกัดปริมาณในการดื่ม เช่น การลดขนาดของถ้วยกาแฟ และจํากัดจํานวนครั้งในการดื่มต่อวัน หรืออาจเปลี่ยนไปใช้เครื่องดื่มชนิดอื่นซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนในปริมาณที่ต่ำกว่า เช่น ชา โกโก้ เครื่องดื่มเกลือแร่ เป็นต้น
ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟ 1 แก้ว จะมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของผงกาแฟที่ใช้ รูปแบบการชงและความนิยมในการบริโภค โดยทั่วไปในปริมาตร 1 แก้ว ขนาด 240-250 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีน 60-200 มิลลิกรัม
ทั้งนี้ คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองให้ตื่นตัวและรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
นอกจากนี้ ในกาแฟมีสารพวกแอนติออกซิแดนต์หลายอย่าง สารเหล่านี้ลดการเกิดอนุมูลอิสระ จึงลดปฏิกิริยาการอักเสบ ลดการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และช่วยให้กระบวนการใช้กลูโคสและไขมันเกิดได้ดี
อย่างไรก็ตาม ในด้านผลเสียกาแฟอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ซึ่งเป็นผลมาจากคาเฟอีนและสารกลุ่มไดเทอร์พีน โดยคาเฟอีนเพิ่มการทำงานของหัวใจและทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้
ส่วนสารกลุ่มไดเทอร์พีน รบกวนระดับไขมันในเลือด การดื่มกาแฟปริมาณมากในคราวเดียว จึงอาจทำให้เกิดใจสั่น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วขณะ กระสับกระส่าย และนอนไม่หลับ ที่สำคัญคาเฟอีนยังต้านฤทธิ์อินซูลินได้ จึงอาจรบกวนการคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เช่นกัน
ที่มา:
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- รศ.ดร.เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล