TNN โรคตุ่มน้ำพอง : ภัยเงียบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ รู้เท่าทัน ดูแลรักษา ป้องกันกำเริบ

TNN

Health

โรคตุ่มน้ำพอง : ภัยเงียบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ รู้เท่าทัน ดูแลรักษา ป้องกันกำเริบ

โรคตุ่มน้ำพอง : ภัยเงียบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ  รู้เท่าทัน ดูแลรักษา ป้องกันกำเริบ

โรคตุ่มน้ำพอง ภัยเงียบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ: รู้เท่าทัน ดูแลรักษา ป้องกันกำเริบ



โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ไม่ค่อยพบบ่อย มีสาเหตุหลักมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำลายโครงสร้างที่ยึดเกาะเซลล์ผิวหนัง จึงทำให้เกิดตุ่มพองน้ำและแผลถลอกที่ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อ การแพ้ยา/สารเคมี การรักษาต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันเป็นหลัก ผู้ป่วยต้องระมัดระวังการติดเชื้อ ดูแลรักษาแผลอย่างถูกวิธี และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เป็นโรคเรื้อรังที่อาจมีอาการกำเริบกลับเป็นซ้ำ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง


"อาการของโรคตุ่มน้ำพองที่น่ากลัว"


โรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีอาการที่น่ากลัวและรุนแรงอยู่พอสมควร โดยเริ่มจากการเกิดตุ่มพองน้ำใสๆ ขึ้นตามร่างกาย ตุ่มเหล่านี้แตกได้ง่ายและสามารถกลายเป็นแผลถลอกที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนและคันรบกวน


นอกจากจะเกิดผื่นแผลบนผิวหนังแล้ว โรคนี้ยังอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นๆ เช่น ช่องปาก เยื่อบุช่องคลอด หรือทางเดินหายใจ โดยบางรายอาจเกิดแผลถลอกในช่องปากจนกลืนอาหารลำบากได้อีกด้วย


หากเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนในแผล แผลเหล่านั้นจะมีลักษณะเป็นหนองและมีกลิ่นเหม็นคาวปนเน่า ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาวะของผู้ป่วยแย่ลงไปอีก


ดังนั้น โรคตุ่มน้ำพองนี้จึงนับเป็นโรคที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัว เนื่องจากสามารถเกิดแผลร้ายแรงไม่เพียงแค่บนผิวหนังเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากรักษาไม่ทันท่วงที



สรุปข้อมูลโรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ดังนี้


สาเหตุ


· เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อ สารเคมี เป็นตัวกระตุ้น

ไม่ใช่โรคติดต่อ


การรักษา


· ยาหลักคือ ยาเพรดนิโซโลน ขั้นตอนการรักษาคือใช้ยาขนาดสูงก่อนแล้วค่อยลดขนาดลง

· อาจใช้ยากดภูมิคุ้มกันกลุ่มอื่นร่วมด้วย เช่น ดาพโซน ยามะเร็งบางชนิด

· ระยะเวลารักษานานเป็นเดือน ผู้ป่วยต้องกินยาต่อเนื่องตามคำแนะนำแพทย์



การรักษาโรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีดังนี้


·ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยากดภูมิต้านทานชนิดอื่นๆ เป็นการรักษาหลัก เพื่อลดการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

·ยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล

·ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่แผลถลอก

·การรักษาแบบประคับประคอง ทำแผลให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ ใช้ผ้าพันแผลอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้อาการกำเริบ

·ในรายที่อาการรุนแรงมาก อาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อได้รับการให้สารอาหารทางสายยาง และควบคุมการติดเชื้อจากแผล

·ผู้ป่วยต้องได้รับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ และปรับการรักษาให้เหมาะสม เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลในระยะยาว

·การรักษาต้องใช้ความอดทนและติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรคนี้มักมีการกำเริบกลับเป็นซ้ำได้บ่อยครั้ง 


การวินิจฉัยโรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีขั้นตอนดังนี้


1. ประวัติและการตรวจร่างกาย

· แพทย์จะซักประวัติอาการ เช่น การเกิดตุ่มพองน้ำ แผลถลอก บริเวณที่เกิด ความรุนแรง

· ตรวจดูลักษณะผื่นผิวหนัง ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ ศีรษะ ลำตัว รอยพับผิวหนัง


2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

· เจาะเลือดตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น IgG, IgA เพื่อช่วยวินิจฉัย

· ตรวจเพาะเชื้อจากแผล หากสงสัยมีการติดเชื้อแทรกซ้อน

· ตรวจชิ้นเนื้อผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่น เพื่อยืนยันการวินิจฉัย


3. การตรวจพิเศษอื่นๆ

· ตรวจหมันสกินเพื่อดูลักษณะพิเศษของผื่นแผลบนผิวหนัง

· ถ่ายภาพรังสีหรืออัลตราซาวน์ร่างกาย หากสงสัยมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น


การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจร่างกายประกอบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เนื่องจากลักษณะอาการคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด จึงต้องระวังการวินิจฉัยสับสน


ในบางรายอาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ เนื่องเป็นโรคที่พบไม่บ่อยนัก


โรคตุ่มน้ำพอง : ภัยเงียบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ  รู้เท่าทัน ดูแลรักษา ป้องกันกำเริบ

การปฏิบัติตัวผู้ป่วย


· หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น แสงแดด ความร้อน ความเครียด เสื้อผ้ารัดรึง สารเคมี


· หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ไม่สัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ งดอาหารไม่สะอาด


· ไม่ตั้งครรภ์ระหว่างโรคยังไม่สงบ หรือรับคำแนะนำจากแพทย์ถ้าต้องการมีบุตร


· ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ไม่ทำให้แผลเปิด หลีกเลี่ยงสมุนไพรพอกแผล

·

· สำหรับแผลในปาก ใช้น้ำเกลือบ้วนปาก งดอาหารรสจัด ไม่แปรงแรง


· รับประทานอาหารมีแคลเซียม เพื่อป้องกันผลข้างเคียงของยา


· พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายพอดี


โดยสรุปโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาและปรับยาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกำเริบและภาวะแทรกซ้อน

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง