TNN online เปิด 4 สัญญาณ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ไม่พบแพทย์อันตรายถึงชีวิต

TNN ONLINE

Health

เปิด 4 สัญญาณ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ไม่พบแพทย์อันตรายถึงชีวิต

เปิด 4 สัญญาณ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ไม่พบแพทย์อันตรายถึงชีวิต

โรงพยาบาลราชวิถี เปิด 4 สัญญาณ ป่วยเป็น “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ไม่รีบพบแพทย์อาจมีอันตรายถึงชีวิต

วันนี้ ( 17 ก.พ. 66 )โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เตือน สัญญาณโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อันตรายถึงชีวิต หากพบอาการผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดี กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน คนไทยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันมากที่สุด เป็นอันดับ 3 รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง จากสถิติพบว่า มีผู้ป่วยเกิดขึ้นใหม่ 21,700 รายต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสาเหตุเกิดจากการรวมตัวกันของไขมันที่เกาะภายในผนังหลอดเลือดหัวใจหนาขึ้น ซึ่งไขมันนี้เกิดจากคอเลสเตอรอล ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและหนาตัวขึ้น ร่างกายจึงไม่สามารถส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยง ที่เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น มี 2 กลุ่ม คือ 

1.ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น โดยเพศชายมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิงในวัยที่ยังมีประจำเดือน ในขณะที่วัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเกิดเท่ากับเพศชาย ปัจจัยด้านพันธุกรรม

 2.ปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง  เบาหวาน สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักเกินมาตรฐาน รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และความเครียด ส่งผลทำให้เพิ่มโอกาสการเกิดหลอดเลือดหัวใจนั้นตีบตันในที่สุด

นายแพทย์เคย์ เผ่าภูรี หน่วยโรคหัวใจ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่าอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันนั้น ผู้ป่วยสามารถมีอาการ 

4 อาการเตือนโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน

1.เจ็บที่บริเวณหน้าอกคล้ายของหนักมาทับในขณะพัก 

2.อาจมีอาการร้าวไปที่บริเวณแขน สะบัก ไหล่ หรือ ขากรรไกรด้านซ้ายได้ 

3.อาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้  ใจสั่น  เหงื่อออกมาก 

4.คลื่นไส้อาเจียนหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม  หรือ หมดสติ 

ทั้งนี้หากสังเกตุตนเองพบอาการดังกล่าวข้างต้น ควรพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุดโดยทันที

เปิด 4 สัญญาณ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ไม่พบแพทย์อันตรายถึงชีวิต


ข้อมูลจาก : กรมการแพทย์

ภาพจาก :  กรมการแพทย์/ AFP 

ข่าวแนะนำ