TNN online "อบซาวน่า" ดีอย่างไร เปิดผลศึกษาพบช่วยลดความเสี่ยง จากโรคนี้?

TNN ONLINE

Health

"อบซาวน่า" ดีอย่างไร เปิดผลศึกษาพบช่วยลดความเสี่ยง จากโรคนี้?

อบซาวน่า ดีอย่างไร เปิดผลศึกษาพบช่วยลดความเสี่ยง จากโรคนี้?

นพ.ธีระวัฒน์ เผยข้อมูลจากต่างประเทศ "อบร้อนซาวน่า" ช่วยทำให้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมลดลง

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอธีระวัฒน์” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ "นอนน้อย นอนนาน นอนยังไง ไม่ให้สมองเสื่อมอายุสั้น" โดยมีรายละเอียดดังนี้


"อบร้อนซาวน่า.. สมองใส หมอดื้อ

ออกตัวไว้ก่อนนะครับ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชาวน่า อบร้อน ออนเซ็น แต่ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (รายงานใน วารสาร เนเจอร์ ปี 2022) ที่ได้ทำการศึกษา ผลของความร้อนที่สูงกว่าปกติที่มนุษย์มีกัน คือ สูงกว่า 37 องศาเซลเซียส กลับมีประโยชน์ช่วยคลี่ โปรตีนที่ทำท่าจะบิดเกลียวและ รวมถึง ที่บิดผิดปกติไปแล้ว จนกลายเป็นขยุ้มและจะเกิดผลร้ายต่อเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม


ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยยังได้กล่าวโยงไปถึงการศึกษาหลายชิ้นที่มีมาก่อน ของผู้คนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีการสังเกตว่า คนที่ใช้ซาวน่าเป็นประจำ ซาวน่าช่วยทำให้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมลดลง


ปกติแล้ว ในเซลล์ของมนุษย์ที่จะคงอยู่ได้ ไม่ตาย หรือ ตายช้าและยังทำงานได้อย่างสดใสสมบูรณ์ เนื่องจาก มีกลไกในการปรับสภาพ เมื่อเผชิญกับความเครียดหรืออันตราย และแม้แต่การที่มีการบุกรุกล้ำ โดยเชื้อโรค ทั้งนี้ในเซลล์จะมี ห้องฉุกเฉิน (กล่าวอุปมา) หรือ ER ซึ่งห้องฉุกเฉินนี้ คือส่วนที่เป็น Endoplasmic reticulum และเมื่อรับสัญญาณอันตราย ก็จะส่งต่อไปยังโรงพลังงาน ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งอยู่ในเซลล์เช่นกัน 


โดยต่อมา ทำให้มีการปรับสภาพให้พอเหมาะ รวมทั้ง ในการทำให้มีขนาดที่เหมาะสม (fission และ fusion) ในการปฏิบัติหน้าที่รวมไป จนกระทั่งถึงการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะจำศีลเมื่อคับขัน ใช้พลังงานประหยัดมัธยัสถ์ และรีไซเคิลขยะ ตลอดจน ส่งสัญญาณในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่รุกล้ำ (autophagy และ immune signaling) และส่งสัญญาณ ในการปรับสภาพอินซูลินในสมอง 

ที่ป้องกันความเสื่อมของสมอง และที่ขาดไม่ได้คือระบบ UPR signaling หรือกลไก unfolded protein response ที่ตอบสนองต่อโปรตีนที่สร้างขึ้นมาและผิดปกติ


ในสภาวะปกติ และ เมื่อเผชิญอันตรายและความเครียดทั้งหลาย โปรตีนที่สร้างในเซลล์นั้นจะมีการพับ ซึ่งก็เป็นกลไกตามธรรมชาติ โดยต้องมีการดูแล ไม่ให้มีโปรตีนที่บิดเกลียวผิดปกติ (misfolded protein) และขัดขวางการทำงานของเซลล์ โดยมีการจับกลุ่มก้อน (aggregates) ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ ดังนั้นจะต้องถูกขจัดทำลาย ไปให้หมด จนถึงศูนย์ได้ยิ่งดีใหญ่ (Zero aggregation) หรือ พยายามที่จะแก้เกลียว ให้กลับคืนเป็นโปรตีนที่ดี โดยขณะนั้น มีการปรับลดการสร้างโปรตีนไปชั่วคราว พร้อมกับ มีการกระตุ้นตัวช่วย เช่น โปรตีนพี่เลี้ยง (chaperones) และโดยที่ ในที่สุดต้องมีการควบคุมคุณภาพของโปรตีนที่สร้างขึ้น


การค้นพบ พี่เลี้ยงที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ cytosolic Hsp 70 หรือ heat shock protein 70 โดยมีหน้าที่ ช่วยแก้ไข เสริมเติม กลไกควบคุมคุณภาพของโปรตีน แต่ทั้งนี้ในเวลาที่ผ่านมานั้น ยังไม่ชัดเจนว่าตัวพี่เลี้ยงนี้ หรือมีตัวอื่นใด เข้าไปทำงานประกบกัน ที่ ER ด้วย หรือไม่ และผลของการศึกษาต่อมา พบว่ามี Hsp ที่เรียกว่า BiP ใน ER ที่ทำหน้าที่นี้ด้วย


ความสำคัญของรายงานนี้ อยู่ที่การเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิดว่า เมื่อเผชิญกับความเครียด ซึ่งในที่นี้ ก็คือการให้เซลล์ถูกความร้อน แต่ผลที่ได้นั้น แทนที่จะเกิดโปรตีนบิดเกลียว จนกลับเป็นกลุ่มก้อน โดยกลไกต่อสู้ตามธรรมชาติสู้ไม่ไหว เอาไม่อยู่ กลับพบว่า สู้ได้สบายมาก


ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการทำลายโปรตีนผิดรูป ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา หรือขจัดทิ้งออกไปจากเซลล์ แต่กลับคลี่ เกลียว ของขยุ้มโปรตีน (disaggregation) และ กลับทำให้เกิดมีการม้วนแบบปกติขึ้น และทำให้กระบวนการสมดุลย์ ของระบบโปรตีน (proteostasis) มีความเสถียรขึ้นไปอีก โดย โปรตีน BiP


การศึกษานี้ออกแบบ โดย สามารถมองเห็นภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่มีชีวิตได้จริงๆ ในแต่ละเสี้ยวเวลาในเสกลเป็นนาโนของวินาที


ดังนั้น พอจะเห็นหรือนึกภาพออกได้แล้วว่า การอบร้อนซาวน่า ที่ทำให้รู้สึก สบายตัว สมองโล่งแท้จริงแล้ว เริ่มสามารถพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ทางสมอง


ทั้งนี้ ซาวน่า คือ การอบตัวด้วยอุณหภูมิประมาณ  65 - 90 หรือสูงถึง 100 องศาเซลเซียส โดยแหล่งกำเนิดความร้อนมีได้หลายรูปแบบ ทั้งการเผาท่อนไม้ ใช้เครื่องทำความร้อนด้วยวิธีต่างๆ


แต่ที่คนที่ไปทำซาวน่า ไม่ได้ตัวสุก ผิวหนังลวก เป็นตุ่มพุพองนั้น เกิดจากการที่ ในห้องซาวน่าจะมีความชื้นเต็มเปี่ยม จนกระทั่งถึง 100% ดังนั้น อุณหภูมิที่สัมผัสจะกลายเป็นระดับอยู่ที่ มนุษย์เรารับได้ประมาณ 50 องศา


การอบซาวน่าเข้าใจว่ามีที่มา แถบสแกนดิเนเวีย เช่น ประเทศฟินแลนด์ สวีเดน แต่เป็นที่แพร่หลายทั่วโลกไม่ใช่ แต่ในยุโรป แต่ทั้งในเอเชีย ในประเทศจีน ญี่ปุ่น


นัยว่า ประเทศไทยเองนั้น ในสมัยก่อน สำหรับสตรีที่คลอดลูกใหม่ๆ มีการเข้ากระโจมร้อน อบสมุนไพร ถือ เป็นประเพณีที่ต้องทำติดต่อกันมา แต่ดูว่าไม่ค่อยมีใครทำแล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ จากหลักฐานที่พบคงเป็นเครื่องแสดงว่า ที่คนสมัย ปู่ ย่า ตา ทวด ทำมานั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะขณะที่สตรีคลอดไปแล้ว จะเผชิญกับความเครียดมหาศาล และร่างกายต้องการซ่อมแซม ดังนั้นอาจจะเป็นวิธีอีกทางหนึ่ง ที่ทำให้ฟื้นกลับตัวเร็วขึ้น


ถึงตรงนี้แล้ว คงต้องศึกษา การอบซาวน่าให้ดีก่อนปฏิบัติด้วย เพราะจะเป็นการเสียเหงื่อ น้ำ และเกลือแร่ ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นควรต้องมีการประเมินสภาวะทางหัวใจและหลอดเลือด ยาที่รับประทานเป็นประจำ เพื่อหาซาวน่าที่เหมาะสม ทั้งในด้านอุณหภูมิระยะเวลาที่เข้าและจะทำถี่บ่อยเพียงใด เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด แต่ในขณะเดียวกันได้ความสดชื่นและสมองสดใสด้วยครับ"








ที่มา ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha

ภาพจาก AFP

ข่าวแนะนำ