TNN ฉากข่มขืน "บางกอกคณิกา" ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง "ทำถึง" ขนาดนี้มั้ย?

TNN

บันเทิง

ฉากข่มขืน "บางกอกคณิกา" ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง "ทำถึง" ขนาดนี้มั้ย?

ฉากข่มขืน  บางกอกคณิกา   ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง ทำถึง ขนาดนี้มั้ย?

ทวีคูณความร้อนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับซีรีส์ฟอร์มยักษ์ "บางกอกคณิกา" กับฉากที่กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงจนทั่วทั้งโซเชียล

โดยเฉพาะตอนที่ "เทียนหยด" ที่รับบทโดย "ชาร์เลท วาศิตา แฮเมเนา"  ถูกพรากพรหมจรรย์  โดย "ขุนณรงค์" เป็นขุนนางสุดโรคจิตที่อยากจะเปิดซิงสาวเวอร์จิ้น และมีรสนิยมสุดซาดิสม์ ซึ่งรับบทโดย "ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา" ได้ลงมือทำร้ายทั้งจิตใจ และร่างกายของเทียนหยด จนสะเทือนใจคนดูทั้งประเทศ 

ฉากข่มขืน  บางกอกคณิกา   ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง ทำถึง ขนาดนี้มั้ย?

หลังฉากที่ว่านี้ออกสู่สายตาประชาชน ชาวเน็ตก็เกิดอาการเสียงแตกทันที เรียกว่าเป็นกระแสร้อนแรงที่ถูกพูดถึงมากๆ  

ในแง่ของคำชม  เอาที่เรื่องของการแสดง นักแสดงในฉากต่างได้รับเสียงชมว่าแสดงถึงจนทุกคนอินตาม ทำเอาแฟนคลับเข้ามาแสดงความคิดเห็นสนั่น ถึงความโหดเหี้ยมของตัวละคร "ขุนณรงค์" เทียนหยดจะรอดจากการโดนขย้ำ เพราะนอกจากซีนขย้ำเทียนหยดแล้ว ยังมีฉากกินผลไม้ หรือ ฉากเลียแตงโมสีแดง ที่แฝงนัยยะถึงสิ่งที่ตัวละครจะต้องการกระทำ ด้วยอารมณ์ที่ถึงเครื่อง เลยกลายเป็นไวรัลดัง ยกให้เป็น ฉากขโมยซีน

ฉากข่มขืน  บางกอกคณิกา   ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง ทำถึง ขนาดนี้มั้ย?

หรือจะเป็นตัว "ชาร์เลท" ที่เล่นดี จนทำเอาคนดูเสียน้ำตา รวมไปถึงกระแสคำชมว่าฉากนี้ทำถึง สะเทือนใจ จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ถือเป็นการสะท้อนสังคมในยุคเก่าที่ชนชั้นต่ำ มักจะถูกเหยียดย่ำจากชนชั้นสูง ไม่เว้นแม้กระทั่งปัจจุบัน ละครแค่หยิบยกมาถ่ายทอดให้ได้เห็นสภาพจิตใจของ "ทาส" ในสมัยนั้น 



อีกเสียงที่มองว่าฉากที่ว่านี้ ยังจำเป็นต้องทำอยู่ไหม? ดูแล้วหดหู่ใจ และมีส่วนให้สังคมเสื่อมทราม เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการเลียนแบบได้ รวมไปถึงวอนผู้จัดฯ ช่อง อย่าหาทำฉากแบบนี้อีก แน่นอนนี่คือความคิดเห็นของกลุ่มคนที่รับไม่ได้ 

ฉากข่มขืน  บางกอกคณิกา   ชาวเน็ตเสียงแตกต้อง ทำถึง ขนาดนี้มั้ย?

                                                                  ภาพจาก : ช่องวัน 


ว่ากันด้วยโปรดักชั่น นี่คือความสำเร็จของทีมสร้าง ที่หมายมั่นจะให้คนดูอินตาม และสะเทือนใจ แต่หากมองต่างมุม สิ่งที่คนดูบางกลุ่มไม่เห็นด้วยก็มีเหตุผลที่น่าคิด 



อย่างไรก็ตามในเมื่อยุคสมัยนี้ การจะทำหนังหรือละครให้ประสบความสำเร็จ การ "ทำถึง" ขนาดนี้ เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป คนดู (ไม่น่อย) ที่เปิดใจกว้าง เข้าใจและรับได้มากยิ่งขึ้น  ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย หรือเกรงจะเกิดปัญหาสังคมตามที่ให้เหตุผลกันมา ก็คงต้องใช้วิธีหยิบปัญหามากาง และอธิบายให้เยาวชนในปกครองรับรู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ปกครองต้องสอนลูกหลาน ให้เขามีภูมิคุ้มกัน ไอครั้นจะไปห้ามไม่ให้เสพสื่อที่หาดูง่ายในยุคนี้เห็นทีจะยาก การให้ความรู้ ความเข้าใจ และใช้วิจารณญาณ ในการรับชมเท่านั้น ถึงจะเป็นภูมิคุ้มกันให้เขาได้ 


ข่าวแนะนำ