WMO เตือนทั่วโลกเสี่ยงเจอภัยพิบัติรุนแรงจาก “ภาวะโลกร้อน”
“หากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียสจะส่งผลกระทบต่อ 3 เรื่องหลัก คือ แนวปะการังในมหาสมุทรจะตายเกือบหมด พายุจะรุนแรงขึ้น และเมืองตามแนวชายฝั่งหรือเกาะเล็กๆจะจมน้ำ”
WMO หรือองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกเตือนทั่วโลกว่า ต้องช่วยกันควบคุมอุณหภูมิโลกของเราไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศา ซึ่งคาดการณ์ว่า ปี 2023-2026 นี้ จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อุณหภูมิโลกจะสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แม้ว่าตัวเลขอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเพียงแค่หลักทศนิยม แต่ผลกระทบที่ตามมาเรียกได้ว่าสร้างความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทั่วโลกเป็นวงกว้าง ซึ่งถ้าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียสจะส่งผลกระทบต่อเรื่องหลักๆ 3 เรื่องดังนี้ ทั้งแนวปะการังในมหาสมุทรจะตายเกือบหมด พายุจะรุนแรงขึ้น และเมืองตามแนวชายฝั่งหรือเกาะเล็กๆจะจมน้ำ 1) แนวปะการังจะตายเกือบหมด โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอย่างแนวปะการังในมหาสมุทรจะตายเกือบหมด 70 – 90 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพวกมันดูดซับความร้อนจากในทะเล ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Great Barrier Reef แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดของโลกในประเทศออสเตรเลียอยู่ในภาวะฟอกขาว มีสภาพเสื่อมโทรมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 2) พายุจะรุนแรงขึ้นและเกิดบ่อยขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ หากสังเกตสภาพอากาศทั่วโลกในปีที่ผ่านมา เราจะพบเหตุการณ์พายุฝนตกหนักหรือลมพัดแรงทั้งในและนอกประเทศบ่อยครั้ง สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในหลายประเทศทั่วโลก สภาพแวดล้อมและคร่าชีวิตนับไม่ถ้วน นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าอากาศที่ร้อนขึ้นจะทำให้ฝนตกหนัก มีพายุมากขึ้น และมีความรุนแรงยิ่งขึ้น 3) น้ำท่วมเมือง เกาะเล็กๆ จมหายไป เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็งในแถบขั้วโลกละลายจนเพิ่มระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดอุณหภูมิสูงแตะ 1.5 องศาเซลเซียส ยิ่งส่งผลให้น้ำแข็งละลายหนักมากกว่าแต่ก่อน และระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มขึ้น 1 – 3 ฟุตภายในปี 2100 ประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ในท้องทะเลก็มีโอกาสที่จะถูกจมหายไป ปัจจุบันนี้เรื่องของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องใหญ่ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะตัวเลขของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
