ด่วน! ปล่อยตัว”สนธิ ลิ้มทองกุล”ผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม
กรมราชทัณฑ์ได้ทำการปล่อยตัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 72 ปี ผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม หลังที่ประชุมสามฝ่าย ตีความเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว โดย กรมราชทัณฑ์ ชี้แจง การปล่อยตัวในครั้งนี้เป็นเรื่องของความคลาดเคลื่อน ในการตีความทางกฎหมายโดยแท้
4 กันยายน 2562 เวลา 16.00 นาฬิกา พ.ต.อ.ณรัชต์
เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
เปิดเผยว่าทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ทำการปล่อยตัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 72 ปี
ผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ที่ต้องคดีความผิดเกี่ยวกับ
กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และอื่นๆ ซึ่งรับโทษมาแล้ว 3 ปี 1 เดือน
ขณะที่นายสนธิ อยู่ภายในเรือนจำมีความประพฤติดี ช่วยเหลืองาน ของทางราชการหลายอย่าง
และมีความก้าวหน้าในเรื่องการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ
ของกรมราชทัณฑ์ครบถ้วนเรียบร้อย ประกอบกับเป็นผู้ที่มีอายุเกินกว่า 70 ปี
และมีโรครุมเร้าหลายอย่าง
ตามข้อเท็จจริงแล้วนายสนธิ น่าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 10 ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
พ.ศ.2562 เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอายุเกิน
70 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเข้าข่ายจะต้องได้รับการปล่อยตัวไปตามมาตรา
6 (2)(จ)
แต่มีการตีความทางกฎหมายว่านายสนธิ กระทำความผิดตาม
พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ตามบัญชีแนบท้าย
จึงเข้าข้อยกเว้นไม่ปล่อยตัว เพียงแค่ลดโทษลงแทน ต่อมาได้มีนักโทษชายรายหนึ่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการอภัยโทษ
โดยโต้แย้งว่าตนเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมิใช่สถาบันการเงิน
ดังนั้นจึงไม่เข้าองค์ประกอบตามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้าย
ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ยื่นเรื่องขอหารือการตีความข้อกฎหมายดังกล่าวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
และในวันที่ 3 กันยายน 2562 เวลา 13.30 น
ได้มีการประชุมสามฝ่ายประกอบด้วยรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทั้งสามท่าน
หัวหน้าผู้พิพากษาแผนกคดีค้ามนุษย์ หัวหน้าผู้พิพากษาแผนกคดียาเสพติด
ผู้แทนอัยการสูงสุด และอธิบดีกรมราชทัณฑ์
ผลปรากฎว่ายืนยันการตีความทางกฎหมายเป็นคุณกับผู้ร้อง คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกับกรณีของนายสนธิ แล้วเป็นข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น นายสนธิ จึงเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้น กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่าการปล่อยตัวในครั้งนี้เป็นเรื่องของความคลาดเคลื่อน ในการตีความทางกฎหมายโดยแท้ ได้มีการหารือกับผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ มิได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือมีใบสั่งจากผู้ใดรวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้อง กับฝ่ายการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น