TNN online เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง

TNN ONLINE

Wealth

เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง

เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง

โบรกมองดัชนีหุ้นไทยไปต่อ หลังเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชี้ราคาหลายตัวยังแลกการ์ด หากดัชนีพักฐานเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานดีเติบโตแรง กูรูมองข้ามช็อตปีหน้ามีโอกาสเข้าสู่ภาวะกระทิงตามตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ขึ้นนำมาก่อนหน้านี้ เปิดโพย 20 หุ้นเด่นพื้นฐานแน่นพร้อมวิ่งฉิว

ตลาดหุ้นไทยกลับมาคีกคักอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลภายใต้การนำของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประกาศเดินหน้าเปิดประเทศ โดยทันที่ที่รัฐกดปุ่มส่งสัญญาณ ตลาดหุ้นไทยดีดขานรับทันทีเห็นได้จากหุ้นเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมาปรับขึ้นปรับขึ้น 10.20 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 1,643.64 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 93,000 ล้านบาทโดยเฉพาะหุ้นธีมเปิดเมืองราคาวิ่งกระฉูดตอบรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 พ.ย.นี้


นอกจากนี้ยังเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนหันกลับมาซื้อหุ้นไทยไม่น้อย เห็นได้จากข้อมูลสถิติที่ผ่านมานับตั้งแต่12 ต.ค.-20 ต.ค.เพียง 7 วันต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 1.64 หมื่นล้านบาท

 

ส่วนแนวโน้มหุ้นไทยหลังเปิดประเทศแล้ว จะเข้าสู่ภาวะกระทิงหรือไม่ หุ้น Reopening Play ที่วิ่งมาแรงจะไปต่อได้หรือเปล่า TNN ONLINE ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุน แต่ละคนจะมีมุมมองอย่างไรตามไปดูกันเลย



เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง

 

เริ่มจากนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสมองว่าตลาดหุ้นไทยแม้ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังแลกการ์ดเพราะในช่วงเกิดโควิดดัชนีร่วงหนักไปลงไปจุดต่ำสุด 969.08 จุด จากก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 1,573 จุดหรือดิ่งลงลึกถึง 38 % แต่ช่วงปีนี้หุ้นไทยปรับขึ้นไปเหนือก่อนโควิดเพียง 4%  หากเทียบกับดาวโจนส์ที่ดีดขึ้นไป 37%


โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงโควิดเป็น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก เกษตร และแพคเกจจิ้ง   ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 100% ทั้งสิ้นในทางกลับกัน ยังมีกลุ่มหุ้นเปิดเมืองที่ปรับขึ้นได้น้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับ SET เช่น ขนส่ง-9% พลังงาน-5% อสังหาริมทรัพย์ -4% ธนาคารพาณิชย์ -4% ค้าปลีก-1% สุขภาพ +3% มีเดีย +4% 


สำหรับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติช่วงโควิดขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 3.2 แสนล้านบาท จนทำให้การถือครองหุ้นไทยจากต่างชาติเหลือเพียง 20% เท่านั้น แต่ในช่วงกลางเดือนส.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมาโควิดเริ่มผ่อนคลาย พร้อมกับเม็ดเงินไหลกลับมาประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นถ้าโควิดคลายและรัฐเปิดประเทศเต็มพิกัดคาดว่าตลาดหุ้นจะพลิกฟื้นกลับ 


ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจะพึ่งรายได้จากการส่งออกเป็นหลัก แต่หลังจากที่รัฐฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากขึ้นจะหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้นตามลำดับ 


แม้ว่านโยบายการเงินต่างประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยกดตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายในไทยยังไม่ขึ้นอีกนาน เพราะต้องรอให้เศรษฐกิจเข้มแข็งก่อน ดังนั้นมองว่าสภาพคล่องที่ล้นระบบจะทำให้นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่ม นอกเหนือจากการฝากเงินในธนาคาร หรือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 


หากพูดถึงหุ้นที่น่าช้อนซื้อที่คาดหวังแรงหนุนของ Fund flow ยังเป็นหุ้นเปิดเมืองราคาแลกการ์ด  โดยแบ่งหุ้น Restart Economy เป็น 2 กลุ่ม 


กลุ่มแรกเป็นหุ้นที่คาดว่ารายได้เพิ่มหลังต่างชาติกลับเข้ามาในประเทศ นำโดย AOT ราคาเป้าหมาย 70 บาท หุ้นท่องเที่ยว ERW ราคาเป้าหมาย 3.7 บาท หุ้นโรงพยาบาลเป็น BDMS ราคาเป้าหมาย 24 บาท และ CPALL ราคาเป้าหมาย  70.50 บาท ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่ามีรายได้จากต่างชาติที่โดดเด่นคือ NOBLE ราคาเป้าหมาย 8.85 บาท 


กลุ่มสองรับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐในภาคการบริโภค การลงทุนภาครัฐและเอกชนที่จะตามมา เช่น ช้อปดีมีคืน เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายปลายปีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นนำโดยหุ้น CPN ราคาเป้าหมาย 61 บาท ตัวต่อมาคือ HMPRO ราคาเป้าหมาย 16 บาท รวมถึงหุ้นรับเหมาฯ STEC ราคาเป้าหมาย 15 บาท และหุ้นนิคม WHA ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท 


หากประเมินกรอบการลงทุนในปีหน้า คาดแตะ 1,816 จุด กำไรบจ.อยู่ที่ 9.28 แสนล้านบาทEPS 80.8 บาทต่อหุ้น โต 8-10% จากสิ้นปีนี้ดัชนีแตะ 1,670 จุด กำไรบจ.อยู่ที่ 8.45 แสนล้านบาท EPS 73.60 บาทต่อหุ้น แสดงว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเข้าสู่ภาวะกระทิงตามตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ขึ้นนำมาก่อนได้เช่นกัน

เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง

    

ขณะที่นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต้องดูอีกครั้งว่า มีทั้งหมดกี่ประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลังเปิดเมืองหุ้นไทยอาจปรับขึ้นไม่มาก และต้องดูว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้เป็นไปตามเป้ามากน้อยแค่ไหน


สำหรับการลงทุน ถ้ามองข้ามช็อตไปปีหน้าคาดว่าตลาดจะกลับมาดีขึ้น โดยมองเป้าดัชนีไว้ที่ 1,750 จุดจากสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,660 จุด แต่หากดัชนีย่อตัวแตะ 1,620-1,630 จุดเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี คาดว่างบไตรมาส 4/64 และไตรมาส 1/65 จะเติบโต โดยเน้นลงทุนในกลุ่ม SET 100


นอกจากนี้การที่สหรัฐฯจะเริ่มถอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(คิวอี) ปลายปีนี้ อาจทำให้เงินทุนไหลออกตามประเทศเพื่อนบ้าน

   

แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือ การที่จีนเศรษฐกิจแผ่วลง ธุรกิจพลังงานสะดุดไม่มีไฟฟ้าผลิตสินค้า รวมถึงการขึ้นภาษีของบริษัทจดทะ เบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลอดจนทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นจากราคาน้ำมัน และราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เช่นกัน

   

หากพูดถึงหุ้นที่น่าลงทุนหนีไม่พ้น AOT ราคาเป้าหมาย 72  บาท เน้นลงทุนระยะกลาง ส่วนงบไตรมาส 3/64 ขาดทุนจากพิษโควิด ซึ่งสามารถเล่นรอบได้ แม้กำไรแย่แต่ธุรกิจไม่ตาย


หุ้นเด็ดตัวต่อมาคือ CPALL ราคาเป้าหมาย 68 บาท เนื่องจากถ้ามีการเปิดเมืองเต็มที่ ร้านสะดวกซื้อจะกลับมาให้บริการปกติ 24 ชั่วโมง และหุ้นค้าปลีกที่เด่นอีกตัวคือ CPN ราคาเป้าหมาย 60  บาท 


ส่วนหุ้นโรงพยาบาล แนะนำ BH ราคาเป้าหมาย 150 บาท รับผลบวกจากผู้ป่วยต่างประเทศเดินทางมารักษาในไทยได้มากขึ้น โดยฐานลูกค้าสัดส่วน 80% เป็นต่างชาติ ขณะที่ BEM ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท มีปัจจัยบวกจากจำนวนผู้โดยสารเดินทางเพิ่มขึ้น

   

อีกตัวที่น่าสนใจคือ MINT แม้ราคาปัจจุบันใกล้ราคาเป้าหมายที่วางไว้คือ 33.50 บาท แต่หากย่อตัวแนะนำซื้อ หลังจากได้รับผลบวกจากการเปิดเมืองในต่างประเทศและอีกช็อตบรอการเปิดเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมีการแพร่ระบาดโควิดอีกระลอกหลังเปิดประเทศเชื่อว่ารัฐจะไม่กลับมาปิดประเทศ


เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง


ด้านนายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองว่า กำไรบจ.ในไตรมาส 4/64 ถึงไตรมาส 1/65 จะเริ่มฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 โดยคาดว่าสิ้นปีดัชนีจะแตะที่ 1,650 จุด และปีหน้ามองไว้ที่ 1,710 จุด  แต่การเปิดประเทศต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดโควิดระลอก 4 ส่วนตัวขับเคลื่อนมาจากการบริโภค และการส่งออก

 

นอกจากนี้มองว่าหากเปิดประเทศแล้วผู้ติดเชื้อเพิ่ม คาดว่ารัฐไม่กลับไปปิดประเทศ เพราะตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนเริ่มมีสัดส่วนสูงขึ้น คนเสียชีวิตน้อยลง และเตียงยังเพียงพอรองรับผู้ป่วย ยกเว้นเจอเชื้อกลายพันธุ์ร้ายแรงกว่าเดลต้า ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ธปท.คาดไว้ปีหน้า 6 ล้านคน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 12 ล้านคน จากเดิมตัวเลขอยู่ที่ 40 ล้านคนในปี 62 โดยคาดว่าต้องรอถึงปี 67 กว่าที่นักวิเคราะห์จะกลับคืนสู่ระดับปกติ


สำหรับหุ้นเปิดเมืองที่ยังน่าลงทุนและราคาแลกการ์ด คือ CPALL ราคาเป้าหมาย 73 บาท หวังการบริโภคฟื้น หุ้นท่องเที่ยวจะเป็น AOT ราคาเป้าหมาย 64.46 บาท AWCราคาเป้าหมาย 6.55 บาท หุ้นนิคมอุตสาหกรรมตัวเด่น คือ AMATA ราคาเป้าหมาย 22.80 บาท ตัวสุดท้ายหุ้นแบงก์ คือ BBL ราคาเป้าหมาย 150 บาท

เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง



ปิดท้ายที่ นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)มองว่า การประกาศงบไตรมาส 3/64 คาดว่าส่วนใหญ่จะปรับตัวลง เพราะได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างมาก แต่หลังจากรัฐมีแผนเปิดประเทศทำให้ราคาหุ้นเปิดเมืองปรับขึ้นและมีการเก็งกำไรล่วงหน้าไปแล้ว  


แต่จากนี้ไปหากรัฐฉีดวัคซีนให้ได้ครบ 70% ของประชากรทั้งประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% อาจจะทำให้หุ้นเปิดเมืองในอีก 6 เดือนข้างหน้ายังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน เนื่องจากในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.นี้ รัฐจะเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมากขึ้น  


สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำคือ AOT ราคาเป้าหมาย 74 บาท จากที่ก่อนโควิดราคาเคยไปแตะที่ระดับ 80 บาท ซึ่งหากประชาชนฉีดวัคซีนครบโดสและรัฐเปิดประเทศเต็มสูบหุ้นตัวนี้จะได้ประโยชน์ ถัดมาคือหุ้น SHR ราคาเป้าหมาย 5 บาท โดยฐานลูกค้าเป็นกลุ่มมัลดีฟส์ 30% ลูกค้าอังกฤษ 30% และที่เหลือเป็นลูกค้าไทย โดยเฉพาะในภูเก็ตและสมุย  ซึ่งกำลังลุ้นนักท่องเที่ยวไทยคาดว่าหลังปลดล็อกประเทศจะทำให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวมากขึ้น


หุ้นเด่นอีกตัวคือ MINT  ราคาเป้าหมาย 35.40 บาท ถือว่าเป็นหุ้นที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดยธุรกิจโรงแรมและอาหารสัดส่วน 50% อยู่ในประเทศยุโรป ซึ่งในช่วงโควิดได้รับผลกระทบหนัก แต่หลังยุโรปเปิดประเทศเริ่มกลับมาดึขึ้นและถ้าไทยคลายล็อกดาวน์จะส่งผลบวกต่อธุรกิจยิ่งขึ้น

   

ส่วนหุ้น CPALL ก็น่าสนใจไม่น้อยราคาเป้าหมาย 69 บาท รับผลบวกไปเต็มๆ ถ้ารัฐยกเลิกเคอร์ฟิวธุรกิจจะกลับมาเหมือนเดิม และหุ้นตัวสุดท้ายคือ KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีหากธุรกิจกลับคืนมา จะทำให้สินเชื่อฟื้นตัวและในอนาคตอาจปรับโครงสร้างธุรกิจเหมือนกับ SCB

   

จากมุมมองของโบรกเกอร์เป็นที่แน่ชัดว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน แม้ว่าจะมีปัจจัยภายในและภายนอกประเทศเข้ามากระทบบ้างแต่ยังไม่น่ากังวลมากน้ก เพราะหลังเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ก็มีลุ้นที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับมาไทยได้ไม่น้อย จากการที่ราคาหุ้นปรับลงไปมากตั้งแต่ช่วงโควิดปีก่อน และยังไม่ฟื้นกลับมาสู่ระดับที่ควรจะเป็น

   

ส่วนการเลือกหุ้นที่ลงทุนนอกจากเป็นหุ้นพื้นฐานดีแล้ว ยังต้องมองยาวถึงศักยภาพธุรกิจในอนาคตด้วย โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่แน่นอนต่างๆ มีสูงขึ้น ธุรกิจใดที่มีศักยภาพที่จะรับมือกับแรงกระแทก และปรับตัวให้ธุรกิจเติบโตอยู่รอดได้อย่างแข็งแกร่ง ก็จะขึ้นมาเป็นหุ้นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอย่างแน่นอน....


เปิดโผ 20 หุ้นเด่น ! หลังเปิดเมืองรับต่างชาติ   กลุ่มแลกการ์ด-พื้นฐานแน่นพร้อมวิ่ง



ที่มา : นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ,นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ,นายสุนทร ทองทิพย์ ,นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล 

ภาพประกอบข่าว:  นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ,นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ,นายสุนทร ทองทิพย์ ,นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ,พิกซาเบย์,TNNONLINE 

ข่าวแนะนำ