TNN online ส่งออกเฮ ! เงินบาทอ่อนนิวไฮรอบ 9 เดือน

TNN ONLINE

Wealth

ส่งออกเฮ ! เงินบาทอ่อนนิวไฮรอบ 9 เดือน

ส่งออกเฮ ! เงินบาทอ่อนนิวไฮรอบ 9 เดือน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าสุดรอบ 9 เดือน หลังเฟดส่งสัญญาณลดคิวอี-ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ผสมโรงปัญหาการกระจายวัคซีนในไทย คาดธปท.ทยอยลดทุนสำรองป้องกันสหรัฐฯกล่าวหาไทยแทรกแซงค่าเงิน

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย  เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 9 เดือน นับจากต.ค .ปี 63  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดส่งสัญญาณปรับลดคิวอีและขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด   ประกอบกับภายในประเทศมีความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และปัญหาการแจกจ่ายวัคซีนในไทย ที่อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยงไทย มากกว่าจะมาจากเงินดอลลาร์ หลังจากที่เงินดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนค่าลง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด 


อย่างไรก็ดี  มองว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากหรืออ่อนค่าต่อเนื่องทะลุระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ เพราะผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเงินบาทมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 31.60-31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งเรามองว่า โอกาสทะลุระดับดังกล่าวมีไม่มากนัก 


นอกจากนี้เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อาจใช้จังหวะนี้ทยอยลดการถือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ลงบ้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สหรัฐฯมองว่า ไทยมีการแทรกแซงค่าเงินในทิศทางเดียว หรือ เพื่อให้ FX reserves มีการลดลงบ้าง   มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 


ตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และ เจ้าหน้าที่เฟดที่เป็น Voting member ของ FOMC อย่าง John Williams ต่างมองว่า แนวโน้มเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นแค่ชั่วคราวและมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามปัญหาด้านฝั่งการผลิตหรือฝั่ง Supply ที่จะคลี่คลายลง 


นอกจากนี้ย้ำว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังไม่ถึงระดับที่เฟดจะต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่คลายความกังวลโอกาสที่เฟดจะเร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่เฟดถึงสองคน (James Bullard และ Robert Kaplan) ออกมาสนับสนุนการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี ตลาดก็ดูเหมือนจะไม่ได้กังวลกับถ้อยแถลงดังกล่าวมากนัก เพราะทั้งสองคนยังไม่ใช่ Voting member ของ FOMC ในปีนี้ 


การเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวของตลาดหนุนให้สินทรัพย์ในธีม Cyclical พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ ดัชนี Dowjones พุ่งขึ้นกว่า +1.76% จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ Financial, Materials และ Industrials เป็นต้น ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.40% ขณะที่ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเพียง +0.79% 


ทางด้านตลาดหุ้นในฝั่งยุโรป ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ได้ช่วยหนุนให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว +0.71% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในทุกตลาดประเทศ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปโดยรวมยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Industrials ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกสินค้า อาทิ ยานยนต์ และ สินค้าแบรนด์เนม หลังจากที่เงินยูโรอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลดีต่อแนวโน้มรายได้ของกลุ่มบริษัทที่มีการส่งออก (Volkswagen +3.61%, Daimler +2.75%, BMW +2.38%, Kering +1.23%)


ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดจะคลายกังวลปัญหาเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น แต่ภาพตลาดการเงินที่เฟดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงก็ได้ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 5bps สู่ระดับ 1.49% ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของยีลด์ระยะยาวอาจไม่ได้เร่งตัวขึ้นไปมาก หากบรรดาผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้กังวลต่อการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องของเฟดมากนัก ซึ่งตลาดจะจับตาแนวโน้มข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงาน รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ ก่อนจะปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน ทำให้เรามองว่า ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ก็อาจแกว่งตัว sideways ในกรอบเดิมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คือ โซน 1.45%-1.60%


ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและลดความต้องการสินทรัพย์หลบความผันผวน อย่าง เงินดอลลาร์ลง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 91.89 จุด หนุนให้สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) แข็งค่าขึ้นราว 0.87% สู่ระดับ 0.753 ดอลลาร์ต่อAUD ซึ่งการแข็งค่าของ AUD ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) สะท้อนผ่านดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดย Bloomberg ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 0.69% (ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้นราว 2.6% สู่ระดับ 74.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน ราคาทองคำปรับตัวขึ้นราว 1.1% สู่ระดับ 1,784 ดอลลาร์ต่อออนซ์)


สำหรับวันนี้ เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจะมีไม่มากนัก ทำให้โฟกัสของผู้เล่นในตลาดการเงินจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึง แนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต ซึ่งตลาดก็สามารถเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ หากเจ้าหน้าที่เฟดที่เป็น Voting member ของ FOMC ต่างยืนกราน ไม่รีบปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น

 




ข่าวแนะนำ