TNN online GLOCON บุกอาหารแช่แข็งพร้อมทาน รับเทรนด์ WFH

TNN ONLINE

Wealth

GLOCON บุกอาหารแช่แข็งพร้อมทาน รับเทรนด์ WFH

GLOCON บุกอาหารแช่แข็งพร้อมทาน  รับเทรนด์ WFH

โกลบอล คอนซูเมอร์ เดินหน้าลุยอาหารแช่แข็งพร้อมทาน หลังย้ายหมวดธุรกิจจาก “บรรจุภัณฑ์” สู่ “อาหาร” รับเทรนด์ WFH ช่วงโควิดระบาดรอบใหม่

นางสาวหลุยส์ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ผู้นำการผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารและบรรจุภัณฑ์สู่ตลาดโลก เปิดเผยว่า  ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มสดใส จากแผนเดินหน้าย้ายหมวดธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากกลุ่ม “บรรจุภัณฑ์” สู่ “อาหาร” พร้อมเตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งพร้อมทาน (Ready To Eat) ที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ต่อเนื่องอีกราว 4-5 ตัว อาทิ ข้าวกระเพราปลาหมึก, ซุปกิมจิ, ข้าวผัดปลาเค็ม และแกงจืดกระหล่ำปลียัดไส้ เป็นต้น


นอกจากนี้เตรียมวางจำหน่ายเบอร์เกอร์โปรตีนพืช ผ่านร้าน Kitchen Plus และ A&W รวมถึงผลิตภัณฑ์ Plant Based Food กึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน ผ่านโมเดิร์นเทรด ทดสอบตลาดเมืองไทยในเดือนมิถุนายนนี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลไม้อบแห้ง มีสัญญาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ จากการฉีดวัคซีน COVID-19 เพิ่มมากขึ้น


สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 5% มีมูลค่า 257 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มอาหารแปรรูปแช่แข็งและอาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน เติบโตขึ้น 12% มีมูลค่า  118 ล้านบาท หลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเน้น Work Form Home หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนอกบ้าน และกลุ่มผลไม้อบแห้ง เติบโต 9% อยู่ที่ 117 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโตต่อเนื่อง 4% แตะ 150 ล้านบาท 


 อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มจะยังคงได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ซบเซาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ฉุดรั้งกำลังซื้อผู้บริโภค แต่บริษัทฯได้มีนโยบายปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร พร้อมปรับกลยุทธ์เน้น Delivery และรถฟู้ดทรัค เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยตรง หนุนประสิทธิภาพการทำกำไรให้สูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯพลิกมีกำไรจากการดำเนินการ 0.40 ล้านบาท จากขาดทุน 3.79 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เนื่องด้วยบริษัทฯต้องจ่ายค่าปรับให้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรณีหุ้น KIAT จำนวน 23.30 ล้านบาท จึงส่งผลให้ภาพรวมไตรมาส 1/64 บริษัทฯยังคงมีผลขาดทุนสุทธิ 5.58 ล้านบาท 

            

ข่าวแนะนำ