โบรกมองหุ้นไทยไซด์เวย์อัพ พลังงาน-ส่งออกหนุน

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up หลังจากปรับฐานวานนี้ และตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งบวก-ลบในกรอบแคบ ส่วนดาวโจนส์เมื่อคืนบวกรับวุฒิสภาสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ และเช้านี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯแม้ทะลุ 1.6% แต่ก็ปิดย่อมาที่ 1.5% ช่วยให้คลายความกังวล Bond yield สูงได้บ้าง

ทั้งนี้ตลาดบ้านเรามีปัจจัยบวกจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กำหนดคลายล็อกมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ และแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลงเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยหนุนตลาดฯได้

นอกจากนี้ เช้านี้เงินบาทอ่อนค่าลงมาแตะ 30.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าอ่อนค่ามากสุดในรอบ 5 เดือน เป็นผลบวกต่อกลุ่มส่งออกที่จะฟื้นตัวได้บ้าง แต่การที่เงินบาทอ่อนในทิศทางเดียวกับภูมิภาคอาจไม่ดีต่อ Fund Flow อย่างไรก็ดี บ้านเรายังมีปัจจัยกดดันจากฟุตซี่จะปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยมีผล 19 มี.ค.นี้  รวมถึงให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16-17 มี.ค.นี้ จับตามุมมองด้านเศรษฐกิจ และความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้แนวรับวันนี้ที่ 1,533-1,525 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550-1,562 จุด 

 รายงานข่าวจากไทยพาณิชย์แจ้งว่า  พอร์ตลงทุนหลักรอเข้าซื้อเฟสแรก 25% ที่ SET บริเวณ 1,450-1,470 ส่วนพอร์ตเก็งกำไร selective buy ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้ 1. หุ้นขนาดใหญ่ที่ laggard (tier 2  และได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและฉีดวัคซีน BEM ,BDMS, CPALL, HMPRO ,CPN ,SCC, MINT 2. หุ้นขนาดกลาง-เล็กที่กำไรเติบโตดีหรือ turnaround NER ,STARK, TWPC, TNP, ZEN, PTG   ส่วนหุ้นเกาะกระแสกัญชง เน้นโรงสกัด DOD, RBF เก็งกำไรเมื่ออ่อนตัว กำหนดจุด stop loss 

ทั้งนี้แนะนำ TQM เริ่มต้นวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ outperform ราคาเป้าหมาย 140 บาท คาดกำไรปี 64 โตก้าวกระโดด 60% ยอดขายเบี้ยประกันภัยเติบโตแกร่ง เงินสดในมือสูง ไม่มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ย  เก็งกำไร MINT, ERW, AOT จากประเด็นวัคซีนพาสปอร์ต ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่า pre-COVID-19 และ BDMS ได้อานิสงส์ผู้ป่วยต่างชาติเข้าประเทศ

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 63 (ลบ THAI ออก) ยังทำได้ดี ที่สำคัญยังเห็น Upside จากการเติบโตที่เปิดกว้างในปีนี้ รวมถึง Valuation ตลาด ณ ปัจจุบันยังน่าสนใจในการลงทุนโดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2563 (หัก THAIออก) อยู่ที่ 6.03 แสนล้านบาท ถือว่าดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยฯคาด (เดิมประเมินไว้ที่ 5.8 แสนล้านบาท) หากคิดเป็น EPS63 ที่ระดับ 53.20 บาท/หุ้น

2. กำไรปี 64 คาดยังเติบโตแรงถึง 32% อยู่ที่ 7.96 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS64F ที่ 70.2 บาท/หุ้น (ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยปี 64 ที่ 50 เหรียญ/ บาเรลล์)ประเด็นดังกล่าวถือว่าดีกับตลาดหุ้น สะท้อนได้จากสถิติในอดีตปีไหนก็ตามที่กำไรโตได้แรงเกิน 30% SET Index จะปรับตัวขึ้นแรงราว 20% ขึ้นไป 

 3. Valuation ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในการลงทุน ทั้งในมุม PEG 64F อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.69 เท่า (PEG<1 ดี) และหากพิจารณาเป้าหมายดัชนีปี 2564 ด้วย Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 3.9% (ค่าเฉลี่ย 10 ปี ในอดีต) และ 3.7% (ระดับเริ่มต้นในยามที่ Fund Flow ไหลเข้า) จะได้เป้าหมายดัชนีปี 2564 อยู่ที่ 1,595 จุด เป็นด่านแรก และหาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่องอาจขยับไปได้สูงถึง 1,670 จุด

4. ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อปรับขึ้น มีน้ำหนักน้อยมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรเด่นในปีนี้  ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นหุ้น Cyclical ทำให้การเติบโตในปีนี้ดูโดดเด่นกว่าประเทศอื่น (เติบโตจากฐานที่ต่ำ) และหากเงินเฟ้อขยับขึ้นก็ยังไม่น่ากังวลมากนักเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลประกอบการหุ้นไทยในปีนี้คาดยังเติบโตได้โดดเด่น ขณะเดียวกัน Valuation ยังน่าสนใจในการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันยังมีแรงหนุนจาก Fund Flow ที่ทยอยไหลเข้าหุ้น Cyclical ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดที่ถูกหมายปอง โดยต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อมาแล้ว 4 ใน 5 วัน กว่า 6.6 พันล้านบาท 

ดังนั้นกลยุทธ์ในการเอาชนะตลาด ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มี Beta สูง บวกกับมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่เหนือตลาดฯ โดยผ่านการคัดกรองด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้1. มี Upside > 10% ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” (Valuation ยังน่าสนใจ)2. มี EPS Growth64F > 32% (เติบโตได้ดีกว่าตลาด)3. มี Beta > 1 (มักปรับตัวขึ้นได้แรงกว่าตลาด)ได้ผลลัพธ์ 10 บริษัท หุ้นโตเด่น มีโอกาสขึ้นแรงกว่าตลาด โดยเลือก BBL, PTT จากกลุ่มหุ้นในตารางด้านบน รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นวัคซีนและการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจอย่าง BDMS เป็น Top picks ในวันนี้

สำหรับ  PTT (FV @ 40.50) มุมมองเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น 70 เหรียญฯ ถือเป็นบวกต่อหุ้นน้ำมันอย่าง PTT รวมถึงผลการดำเนินงานค่อยๆฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในภาพใหญ่ หนุนความต้องการใช้ปิโตรเลียม/ปิโตรเคมีกระเตื้องขึ้น คาดกำไรงวด 1Q64 มีแนวโน้มดีขึ้น QoQ จากทุกธุรกิจทั้งธุรกิจก๊าซฯ และโรงแยกก๊าซฯของ PTT จากความต้องการใช้ที่กระเตื้องขึ้นตามเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่คาดจะได้รับอานิสงค์จากทั้งค่าการกลั่น และ spread ปิโตรเคมีที่จะเห็นการฟื้นตัว โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 64 เท่ากับ 48.50 บาท มี Upside ประมาณ 20% อีกทั้งราคาหุ้น laggard กลุ่มฯและราคาน้ำมันอยู่มาก

BBL (FV @ 154)  - ธนาคารฯ มองสินเชื่อปี 2564 ขยายตัว 3% - 4% yoy ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) คาดการณ์ลดลงมาที่ 2.2 หมื่นล้านบาท จาก 3.1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ถือว่าเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นตัวที่แท้จริง 

แนวโน้มกำไรปี 2564 ฟื้นตัวจากฐานต่ำปีก่อน ด้านราคาหุ้น BBL ยังคง Laggard SETBANK และหุ้นธพ.อื่นๆ อยู่มากพอสมควร

ปิดท้ายที่ BDMS (FV @ 24)  คาดหวังฟื้นตัวได้ศบค.เห็นชอบรพ.เอกชนสามารถให้บริการวัคซีน (อย่างเป็นทางการ) คาดเป็นปัจจัยปลดล็อคความกังวล หนุนให้คาดหวังการฟื้นตัวผู้ป่วยไทยกลับเข้ามาใช้บริการมากขึ้น บวกต่อ BDMS ที่มีสาขาครอบคลุมรอรับการฟื้นตัวภาพรวมเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้เห็นการฟื้นตัวมีนัยฯมากขึ้นนับจาก 2Q64 และในช่วง 2H64 จึงยังคงคาดกำไรปกติ ปี 2564 เติบโต 28.4% นอกจากนี้ มีอีก Highlight  บวก ที่ออยู่ คือการผ่อนคลายมาตรการกักตัวผู้ป่วย

ต่างชาติ Fly-in ที่ฉีดวัคซีนแล้ว เช่น ลดวันกักตัว ฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบ BDMS มากสุดในกลุ่มฯ จากธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีเครือข่ายครอบคลุม มูลค่าพื้นฐานที่ 24ยังมี Upside ลงทุน 11.6% แนะนำทยอยสะสม