เปิดข้อมูล "ไทย" ติดอันดับ 8 ของโลก ซื้อทองคำมากที่สุด

เปิดข้อมูล "ไทย" ติดอันดับ 8 ของโลก ซื้อทองคำมากที่สุด

ข้อมูลจาก สภาทองคำโลก หรือ World Gold Council ซึ่งมีรายงานเกียวกับความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกช่วง 30 ปี หรือตั้งแต่ปี 2535-2565 พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในนโยบายซื้อทองคำของรัฐบาลแต่ละประเทศ หลังเกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540  รวมถึง “วิกฤตการเงินโลก” ระหว่างปี 2550-2551

โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเป็น “ผู้ขายสุทธิทองคำ” หรือ เป็นผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ  ท่ามกลางเงื่อนไขทางเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพและราคาทองที่อยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2553 มาจนถึงปัจจุบัน พบว่า บรรดาธนาคารกลางแต่ละประเทศ ได้หันมาเป็น “ผู้ซื้อสุทธิทองคำ” หรือเป็นผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย 

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF  ได้จัดอันดับ 10 ประเทศที่ธนาคารกลางซื้อทองคำมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2542-2564 พบว่า ประเทศไทย ซื้อทองคำสูงสุดติดอันดับ 8 ของโลกรวมกว่า 168 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2  ของทองคำที่ซื้อทั้งหมดในช่วงเวลา 22 ปีดังกล่าว

ขณะที่ผู้ซื้อทองคำสูงสุด 3 อันดับแรก ระหว่างปี 2542-2564 ได้แก่ รัสเซีย รวมกว่า 1,888 ตัน รองลงมา คือ จีน กว่า 1,552 ตัน  และ ตุรกี กว่า  541 ตัน  นอกจากนี้ ยอดซื้อทองคำของประเทศใน 10 อันดับแรก รวมอยู่ที่ 5,623 ตัน คิดเป็นร้อยละ 84 ของทองคำที่ธนาคารเหล่านี้ซื้อทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์ สาเหตุที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 

เนื่องจากทองคำมีบทบาทสำคัญในทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ โดยมี 3 เหตุผลหลักที่ต้องถือทองคำ คือ สร้างสมดุลในทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดการความเสี่ยงจากการถือเงินตรา และเสริมเสถียรภาพในกรณีเกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ   ป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงินต่าง ๆ และรักษาอำนาจซื้อในตลาดโลก  รวมถึง การกระจายพอร์ตการลงทุน

นอกจากนี้ ข้อมูลสภาทองคำโลก ยังระบุด้วยว่า ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1,136 ตัน มูลค่าราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการแห่ซื้อทองคำรวดเร็วที่สุดของบรรดาธนาคารกลางนับตั้งแต่ปี 2510 ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ในขณะนี้

ภาพ TNNOnline