TNN online หุ้นไทยวันนี้ยังผันผวนตามสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

TNN ONLINE

Wealth

หุ้นไทยวันนี้ยังผันผวนตามสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

หุ้นไทยวันนี้ยังผันผวนตามสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

หุ้นไทยวันนี้ยังผันผวนตามสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก สะท้อนจาก VIX Index ที่ปรับตัวขึ้นแรง +6.94% สู่ 26 จุด

บล.กรุงศรี พัฒนสิน คาดตลาด “Sideways” ต้าน 1583/1590 จุด รับ 1563/1556 จุด ประเมินระยะสั้นสินทรัพย์เสี่ยง ยังผันผวน สะท้อนจาก VIX Index ที่ปรับตัวขึ้นแรง +6.94% สู่ 26 จุด ส่วนความผันผวนพันธบัตร Move Index เร่งขึ้นสู่ 173.59จุด สูงสุดในรอบ 14 ปีเศษ จากความเสี่ยงกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯที่ต้องดูแนวทางการแก้ปัญหาของ FED แต่ระยะกลางนำมาสู่จุดเปลี่ยนของนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ให้จับตาเงินเฟ้อ CPI วันนี้คาดจะรายงานลดระดับเหลือ +6.0%y-y จาก prev. +6.4%y-y กรณี Inline ตลาด KCS คาด FED จะเลือกคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป(Consensus คาด Fed จะปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายรอบประชุม มี.ค. 23 เพียง 25 bps) หนุน Dollar Index อ่อนค่า 103.5จุด+/- และ US Bond Yield 2-10ปี ลดลงสู่ 4.05%-3.56% เป็นบวกระยะกลาง ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความต่อเนื่อง วันนี้แนะนำ: ADVANC GULF


ด้าน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุเงินเลือกเข้าตราสารหนี้ก่อน ทำให้หุ้นยังถูกกดดันในระยะสั้น โดยนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย สถานการณ์ที่สินทรัพย์ของธนาคารเกิดการด้อยค่าลงจากผลการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกอบกับการถอนเงินของนักลงทุนที่กังวล จนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่องของธนาคาร จนทางการต้องเข้าควบคุมการดำเนินงานของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank และประกาศคุ้มครองเงินฝาก รวมถึงออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารในระบบ (Bank Term Funding Program) ทำให้ตลาดเริ่มเปลี่ยนมุมมองการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดมุมมองต่อการประชุมรอบ 22 มี.ค. ตลาดเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลักมือ โดยเมื่อ 10 มี.ค. โอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.50% (ด้วยความน่าจะเป็น 40.2%) และขึ้นดอกเบี้ย 0.25% (ด้วยความน่าจะเป็น 59.8%) มาสู่ปัจจุบัน ที่โอกาสคงดอกเบี้ย (35.0%) ขณะที่ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% (ด้วยความน่าจะเป็น 65.0%)  


การที่ตลาดเริ่มคาดถึงการลดดอกเบี้ย ทำให้ในระลอกแลกเงินอาจจะออกจากหุ้นเข้าทองหรือพันธบัตรก่อน เราประเมินมุมมองของนักลงทุนต่อตลาดหุ้น และสินทรัพย์ต่างๆดังนี้ 

1) การที่เฟดอาจต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ขณะที่เงินเฟ้อยังลงไม่เร็ว จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบนานขึ้น บวกต่อราคาทองคำ 

2) การคาดการณ์ถึงจุดสูงสุดของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย (Terminal rate) ที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้เงินไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ Downside จากการขึ้นดอกเบี้ย 

3) ในสภาวะปัจจุบันที่หุ้นหรือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสถูกกระทบจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มผลประกอบการที่ยังมีโอกาสถูกปรับประมาณการลง จะทำให้ตราสารหนี้ เป็นตัวเลือกแรกที่ปลอดภัยกว่า ระยะสั้นหุ้นจึงยังอาจเผชิญความผันผวนแม้สถานการณ์จะไม่ลุกลามเป็นวิกฤติ 

4) กลุ่มธนาคารและประกัน ซึ่งเป็นหุ้นที่อิงวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น มีโอกาสปรับลดลงแรงกว่าตลาด หรือถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุน จากวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจสิ้นสุดเร็วกว่าคาด 

5) กลุ่มหุ้นอิงการบริโภคในประเทศ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง หุ้นปลอดภัย หุ้นปันผลสูง หรือที่มีผลตอบแทนคลายตราสารหนี้อย่างพวก จะเป็นตัวเลือกในการสะสมที่น่าสนใจ แต่นักลงทุนอาจต้องทำใจที่ในระยะสั้นหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าตราสารหนี้ได้


ภาพรวมกลยุทธ์: แม้สถานการณ์ธนาคารในสหรัฐฯ ไม่น่าลุกลามเป็นวิกฤติ แต่โอกาสสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ในระยะสั้นตราสารหนี้จะเป็นตัวเลือกแรกก่อนหุ้น ส่งผลใหุ้นอาจโดนปรับลดน้ำหนักและมี downside ในระดับ 1550+/- ได้ การลงทุนเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) ได้แก่ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกรายตัว โดยหุ้นที่เรามองสามารถทยอยสะสม ได้แก่ MAJOR, CPALL, MAKRO, BJC, PTTGC, IRPC, TIDLOR, AMANAH, MILL, TSTH, KSL, ROJNA, SAMART, SDC เป็นต้น


ข่าวแนะนำ