TNN online หมดโควิด! โรงแรมไทยเดินหน้าลงทุน สยายปีกทั้งไทย-เทศ

TNN ONLINE

Wealth

หมดโควิด! โรงแรมไทยเดินหน้าลงทุน สยายปีกทั้งไทย-เทศ

หมดโควิด! โรงแรมไทยเดินหน้าลงทุน สยายปีกทั้งไทย-เทศ

การเปิดประเทศและการเดินทาง ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวฟื้นตัว รวมทั้งโรงแรมของไทยกลับมาขยายการลงทุนอีกครั้ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังต้องเจอวิกฤตโควิด-19 มากว่า 3 ปี

นายจิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในปี 2566 เพิ่มขึ้นอีก 14 แห่ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,700 ห้อง ใน 7 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งในเอเชียและยุโรป รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะทำให้กลุ่มดุสิต  มีโรงแรมรวมกันทั้งหมด 62 แห่ง หรือประมาณ 13,700 ห้อง ใน 17 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งยังมีอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 60 แห่งที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายใน 3-4 ปีข้างหน้า


โดยแผนการเปิดโรงแรมใหม่ในปีนี้ คือ การบุกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในตลาดใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีโรงแรมในเครือดุสิตธานีมาก่อน ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศกรีซ และยังเตรียมที่จะเปิดโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มติมในจุดหมายปลายทางที่เคยมีแล้ว ได้แก่ ประเทศเนปาล 2 แห่ง ประเทศอินเดีย 2 แห่ง ประเทศเคนย่า 1 แห่ง และประเทศจีน 3 แห่ง


นอกจากนี้ ยังวางแผนที่จะเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มเติมในประเทศไทย อีก 3 แห่ง นอกเหนือจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 


ทางด้านไมเนอร์ฯ ยังตั้งงบลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้าไว้ที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนบริษัทในเครือโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการร่วมลงทุน (JV) กับกองทุนต่างๆ เพื่อนำเงินมาลงทุนขยายโรงแรมใหม่ให้เติบโตตามแผน


และมีแผนพัฒนาโรงแรม 70 แห่งทั่วโลกในอนาคตโดยส่วนใหญ่เป็นรูปแบบการรับบริหาร ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่สูง และยังมองโมเดลขยายโรงแรมผ่านรูปแบบขายแฟรนไชส์ในต่างประเทศอีกด้วย ผ่าน 3 แบรนด์ ได้แก่ โอ๊คส์, เอ็นเอช โฮเทลส์ และอวานี (ยกเว้นแบรนด์อนันตรา) 


ส่วนใน 2 ปีนี้ (2566-2567) ไมเนอร์ฯเตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 10 แห่งซึ่งทั้งหมดเป็นการรับบริหาร เพื่อรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จาก ปัจจุบันไมเนอร์ฯมีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือกว่า 530 แห่ง ใน 56 ประเทศ และในช่วง 2 ปีนี้ ไมเนอร์ฯจะเร่งเครื่องขยายธุรกิจแบรนด์โรงแรมภายใต้ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) คือแบรนด์ NH Collection, NH และ nhow


นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เช่นการขายวิลล่าระดับหรูในภูเก็ตเฟส 3 และโครงการอนันตรา สยาม เรสซิเดนซ์ เพื่อขยายเรสซิเดนซ์ระดับโลก


ทางด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ในกลุ่มทีซีซี (TCC Group) ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีเปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2569) วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของ AWC รวมกับโกลเบิ้ล พาร์ทเนอร์ ในการสร้าง Attraction ด้านการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศไทย เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ท่องเที่ยวในปัจจุบัน


โดยตามแผนการลงทุน 5 ปีของ AWC ประกอบไปด้วยโครงการที่อยู่ในการพัฒนาต่อเนื่อง 15 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท อาทิ อควาทีค เดอะบีชฟรอนท์ พัทยา ,เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย,บันยันทรี จอมเทียน พัทยา , แมริออท รีสอร์ท&สปา แอท จอมเทียน บีช ,เวิ้ง นครเกษม โดยปรับแผนการลงทุนให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม


ส่วนอีก 40,000 ล้านบาท จะมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งที่ผ่านมามีโรงแรมทยอยเสนอขายเข้ามากว่า 200 แห่ง แต่การจะซื้อหรือไม่ ต้องวิเคราะห์โอกาสการลงทุนที่เกิดขึ้นด้วย โดยล่าสุด AWC ซื้อ 2 โรงแรม คือ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ และ เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต มูลค่า 8,856 ล้านบาท 


ทางด้าน JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์เผยว่า ในปี 2565 มีการซื้อขายโรงแรมในไทยรวม14 รายการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 12,300 ล้านบาท


โดยกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย ยังคงเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุน มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปี 2565 โดยกรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด คิดเป็นเกือบ 40% และโรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 ผู้ขายทั้งหมดเป็นบริษัทหรือธุรกิจครอบครัวชาวไทย ใกล้เคียงกับในฝั่งของผู้ซื้อ ที่พบว่า 80% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทย 


และ AWC เป็นบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมีแผนจัดตั้งองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย มีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงสุดประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16,500 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าร่วมลงทุนประมาณ 15-60% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะเป็นการร่วมลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ทางด้าน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ในเครือบริษัท อิตัลไทย โดย นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมเพิ่มอีก 11 แห่งในช่วง 2-3 ปีนี้ เพื่อรองรับการฟื้นตัวและเติบโตของการท่องเที่ยว


โดยเป็นการรับบริหาร ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ทั้งอมารี โอโซ่ และชามา ส่งผลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ออนิกซ์ฯ จะมีธุรกิจโรงแรมในเครือ รวมเป็น 55 ครอบคลุมทั้งในไทย มาเลเซีย จีน ฮ่องกง มัลดีฟส์ บังกลาเทศ และ สปป.ลาว ซึ่งเป็นโรงแรมที่ลงทุนเอง 18% และการรับบริหารจัดการอยู่ที่ 82%


โดยเฉพาะมาเลเซียนับเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญมากในอนาคตของเครือออนิกซ์ฯ เพราะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง นอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ยังจะมีการเดินทางของกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติจำนวนมาก สามารถขยายธุรกิจได้หลากหลาย จึงมีแผนเปิดดำเนินงานครบ 3 แบรนด์หลัก ทั้งอมารี โอโซ่ และชามา ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจและท่องเที่ยวของมาเลเซียภายในปีนี้


ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เข้าสู่ธุรกิจโรงแรม อย่าง บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด เพื่อร่วมทุนในโรงแรมแบรนด์ “ไอบิส” โรงแรมระดับบัดเจ็ตโฮเทล 3 แห่ง ทั้งภูเก็ต หัวหิน และอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ 


หลังได้ซื้อโรงแรมมาจากบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยวที่พบว่าอัตราการเข้าพักในโรงแรมใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และ โรงแรมทั้ง 3 แห่งปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับมากกว่า 60-70% ซึ่งทางโตคิว แลนด์ เอเชียได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ จึงทำให้เกิดการร่วมทุนในครั้งนี้


และได้เปิดตัว โรงแรม “สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท” ในเครือ IHG โรงแรมสไตล์ที่พักอาศัยแห่งที่ 2 ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในซอยสุขุมวิท 24 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 


โดย วันออริจิ้น มีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 แห่ง อาทิ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ / โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง และมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายแห่ง ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า และกลุ่มอาคารมิกซ์ยูส 


ด้านนางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย หรือ ทีเอชเอระบุว่า ปี2566 องค์การการค้าโลก หรือ WTO คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวได้ 80-90% จากนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางไปทั่วโลก และตลาดใหม่ ซึ่งไทยต้องปรับตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีหลายซัพพลายไซซ์ตั้งแต่ชนบทถึงโรงแรมระดับ 6 ดาว จึงจำเป็นต้องพัฒนาภาคการท่องเที่ยวให้อยู่รอด โดยภายใต้คณะทำงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ (สศช.)ได้มีการหารือเรื่องขยายฐานนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ประกอบกับโจทย์เรื่องขาดแคลแรงงานโดยเฉพาะแรงงานที่จะต้องสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มเป็น 80 ล้านคนในอีก 5 ปีข้างหน้า 


และผลักดันให้การท่องเที่ยวควรเป็นวาระแห่งชาติของทุกกระทรวงเพื่อบูรณาการอีกด้วย 



ที่มาข้อมูล : TNN ONLINE

ที่มาภาพ : TNN


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง