TNN online โบรกชี้เป้าลงทุนหุ้นไทยสิ้นปีดัชนียืน 1,690 จุด

TNN ONLINE

Wealth

โบรกชี้เป้าลงทุนหุ้นไทยสิ้นปีดัชนียืน 1,690 จุด

โบรกชี้เป้าลงทุนหุ้นไทยสิ้นปีดัชนียืน 1,690 จุด

"วิศิษฐ์" มองหุ้นไทยยังแข็งแกร่งเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 1,690 จุด อิง EPS ที่ 106.5 บาท พี/อี 15.9 เท่า แนะลงทุน 4 ธีมเด่น



ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดทุนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากหลายวิกฤต เช่น การแพร่ระบาดของ COVID-19 เงินเฟ้อที่พุ่งแรงทั่วโลก เศรษฐกิจโลกถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และความตึงเครียดระหว่างจีน ไต้หวัน และสหรัฐฯ 


ขณะนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังพัฒนาจากภาวะ“ความกลัวเงินเฟ้อ (Inflation Fear)” มาสู่ภาวะ “ความกลัวเศรษฐกิจถดถอย (Recession Fear)” จากการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงของประเทศสหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศยุโรป 


นอกจากนี้ การที่ Fed เริ่มมีนโยบายลดความรุนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย (Less Hawkish) นำไปสู่การทำกำไรของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และภายหลังจากการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5-0.75% ในเดือนก.ย.นี้ อาจจะทำให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น 


อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกลัวเศรษฐกิจถดถอยยังมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้าไทยในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็น Renewed ของฟันด์โฟลว์หรือฟันด์โฟลว์รอบใหม่ โดยตั้งแต่ต้นเดือนมีนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเป็นฝ่ายซื้อสุทธิในตลาดหุ้นกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท และตลาดพันธบัตรกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท



สำหรับตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง โดยมองเป้าดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 1,690 จุด อิงอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดที่ 106.5 บาท และ Forward PE (X) ที่ 15.9X และมีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายดัชนีขึ้น เพราะ EPS มีโมเมนตัมเป็นบวกจากการปรับเพิ่มของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อีกทั้ง นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ผลตอบแทนติดลบตั้งแต่ -1.8% ถึง -50% แต่ตลาดหุ้นไทยยัง Outperform ตลาดหุ้นโลก 



ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในสถานการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤต (Asset Allocation) ในช่วงที่เหลือของปี 2565 โดยสินทรัพย์ที่แนะนำลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นไทย 25% ตลาดหุ้นเวียดนาม 10-15% ตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว 10% ตราสารหนี้โลก 25% ทองคำ 5% Weighting          ในกลุ่มน้ำมัน และ Commodity 5% และถือเงินสด 15-20% เนื่องจากสินทรัพย์เสี่ยงยังไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ยังไม่คาดการณ์ 



ทรีนีตี้ยังแนะนำให้ Overweight หรือให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ในกลุ่มหุ้นที่เป็น “Thematic Play” ที่ได้สร้างแบบจำลองทาง Macro Economic 4 ธีมหลัก ได้แก่

ธีมที่ 1 : บริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง (reopening) และการท่องเที่ยว มองว่าประเทศจีนมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางออกนอกประเทศได้ใน 3-12 เดือนข้างหน้า                      

ธีมที่ 2 :  บริษัทที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า                

ธีมที่ 3 : หุ้นปันผลสูงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation hedge )

ธีมที่ 4 : บริษัทได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มธนาคาร แต่การส่งผ่านการขึ้นดอกเบี้ยไปเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบเศรษฐกิจนี้จะมีประสิทธิภาพน้อยลง   



ส่วนของมุมมองด้านเงินเฟ้อ มองว่าเงินเฟ้อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย อาจจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 3 ปีนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ผ่านจุดสูงสุด (Peak) ไปแล้ว และคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของประเทศไทย จะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปที่ระดับ 0.25% ต่อครั้ง คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ใน 12 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 1.5% ในกลางปี  66 แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับต่ำสุดในอาเซียน 


อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ในเดือนก.ค. และการที่ค่าแรงขั้นต่ำมีโอกาสปรับขึ้นได้ 5-8% ทำให้ Core Inflation มีโอกาสสูงกว่าที่เป้าหมายธปท.กำหนดไว้ที่ 1-3% 


 ด้านค่าเงินบาท มองว่านับตั้งแต่สิ้นเดือนก.ค.  ปรับตัวแข็งค่ามากที่สุดในสกุลเงินอาเซียน โดยแข็งค่าขึ้นกว่า 4% และ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่ามีความเสี่ยงของเงินทุนไหลออกจากนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากการส่งออกเงินปันผลของนักลงทุนต่างประเทศช่วงเดือนก.ย. 65 ประกอบกับ Fed อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.5%

 

ที่มา  บล.ทรีนีตี้ 

ภาพประกอบ   บล.ทรีนีตี้  


 




ข่าวแนะนำ